วันอาทิตย์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2553

เทศกาลชมดอกซากุระบาน สวยมากๆเลยน่าค่ะที่ญี่ปุ่น วันนี้เรามาดูกันดีกว่าค่ะว่าเทศกาลนี้เป็นยังไงบ้าง


เทศกาลชมดอกไม้หรือที่เรียกว่า ฮานามิ (Hanami) ในภาษาญี่ปุ่นจริงๆแล้วหมายถึง การชมดอกไม้ (ไม่ได้ระบุว่าเป็นดอกไม้ชนิดไหน) แต่ชาวญี่ปุ่นจะนิยมชมดอกซากุระกันมากกว่าดอกไม้อื่น ที่สำคัญดอกไม้ประจำชาติพันธุ์นี้บานแค่ปีละครั้ง ครั้งละประมาณหนึ่งอาทิตย์ผูู้้คนก็เลยถือโอกาสนี้เป็นเทศกาลชมดอกซากุระ พร้อมกับสังสรรค์ประจำปีกันไปเลย


ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการชมดอกซากุระ(Cherry Blossoms)

เริ่มตั้งแต่เดือน มกราคม ไปจนถึง พฤษภาคม ของทุกปี ขึ้นอยู่กับพื้นที่
การบานของดอกซากุระจะขึ้นอยู่กับสภาพภูมิอากาศ ไม่ใช่ว่าที่ไหนหรือเวลาไหนก็บานได้ โดยปกติแล้วจะเป็นช่วงเวลาที่อากาศกำลังเย็นสบาย ไม่หนาวหรือร้อนจนเกินไป ซึ่งมักจะเป็นช่วงคาบเกี่ยวระหว่างฤดูหนาวกับฤดูใบไม้ผลินั่นเอง
และเนื่องจากประเทศญี่ปุ่นวางในแนวตั้ง ดังนั้นฤดูกาลของญี่ปุ่นจากหนาวสู่ร้อน จึงเริ่มที่ส่วนล่างของประเทศก่อนจากหมู่เกาะโอกินาว่า ซึ่งจะบานตั้งแต่เดือนมกราคมเลย เรื่อยมาจนถึงโอซาก้า เกียวโต นาโงย่า โตเกียว และจะบานเป็นที่สุดท้ายที่ฮอคไกโดราวเดือนพฤษภาคม


โดยดอกซากุระจะบานเพียงช่วงสั้นๆ นับจากวันที่เริ่มผลิดอก จนถึงวันที่ ดอกบานสะพรั่งที่สุด รวมแล้วประมาณ 7 วันเท่านั้น และหลังจากนั้นก็จะร่วงโรยไปทันที นอกจากนี้สภาพอากาศที่ไม่เอื้ออำนวย พายุ ฝนตกหนัก หรือลมกรรโชกแรง ก็ส่งผลให้ระยะเวลาที่ดอกซากุระบานลดลงได้ หรือหากทีไหนฤดูกาลแปรปรวน (เช่น ฤดูหนาวยาวนานกว่าปกติ) ซากุระก็จะเลื่อนเวลาบานออกไปเช่นกัน
แล้วไม่ใช่ว่าในท้องที่หรือเมืองเดียวกัน ซากุระจะบานสะพรั่งพร้อมกัน เพราะต้นไหนอยู่ในที่ร่มก็จะบานช้ากว่าต้นที่อยู่กลางแจ้งอีกด้วย



สถานที่แนะนำในการชมดอกซากุระ

เมืองโตเกียว(Tokyo) สวนสาธารณะอุเอะโนะ(Ueno Park) สวนสาธารณะชินจูกุเกียวเอน(Shinjuku Gyoen) ชิโดริกาฟุจิ(Chidorigafuchi) สวนสาธารณะสุมิดะ(Sumida Park) สุสานโอยามะ(Aoyama Cemetery) สวนพฤกษศาสตร์โคอิชิคาวะ(Koishikawa Botanical Garden) สวนสาธารณะอิโนคาชิระ(Inokashira Park)

เมืองโยโกฮาม่า(Yokohama) สวนสาธารณะคามอนยาม่า(Kamonyama Park) สวนซังเคเอ็น (SAnkeien)

เมืองคามาคุระ(Kamakura) ดันคาสุระ(Dankazura)

เมืองนาโงย่า(Nagoya) ปราสาทนาโงย่า (Nagoya Castle)

เมืองเกียวโต(Kyoto) สวนสาธารณะมารุยาม่า (Maruyama Park) เส้นทางนักปราชญ์(Philosopher’s Trail) ศาลเจ้าเฮอัน(Heian Shrine) อาราชิยาม่า(Arashiyama) ริมแม่น้ำกาโม่(Kamogawa) วัดไดโกจิ(Daigoji) ศาลเจ้าฮิราโน่(Hirano Shrine) คลองโอคาซากิ(Okazaki Canal)

เมืองฮิเมจิ(Himeji) ปราสาทฮิเมจิ (Himeji Castle)

เมืองอาโอโมริ(Aomori) ปราสาทฮิโรซากิ(Hirosaki Castle)


แนวเส้นดอกซากุระบานที่ประเทศญี่ปุ่น

ดอกซากุระที่ประเทศญี่ปุ่นจะเริ่มบานจากส่วนล่างของประเทศก่อน เริ่มจากหมู่เกาะโอกินาว่า ซึ่งจะบานตั้งแต่เดือนมกราคม บานเรื่อยมาจนถึงโอซาก้า เกียวโต นาโงย่า โตเกียว และจะบานที่ฮอคไกโดราวเดือนพฤษภาคม


รูปต่อไปนี้เป็นข้อมูลเฉลี่ยที่ดอกซากุระบานในปี 2551(Spring 2008's Sakura Blossoming Dates And Japan Map (Excluding Hokkaido))



วันนี้หมิวจะมาพาดูรอบๆเทศกาลฮานามิในปี 2010 น่าค่ะ

พอทานอาหารเสร็จแล้วเราไปย่อยอาหารด้วยการไปเที่ยวที่ปราสาทโอซาก้าดีกว่าค่ะ

ปราสาทโอซาก้าเป็นสัญญลักษณ์อย่างหนึ่งของเมืองโอซา ก้า สร้างขึ้นเป็นครั้งแรกบนบริเวณที่เคยเป็นวัด Osaka Hongan-ji เมื่อปีค.ศ.1583 โดย โชกุนโทยะโตมิ ฮิเดโยชิ (Toyotomi Hideyoshi) (ค.ศ.1537-1598) นักรบระดับไดเมียวผู้พยายามรวบรวม ประเทศเป็นครั้งแรก หอคอยประสาทหรือส่วนที่เรียกว่า Tenshukaku แล้วเสร็จลงสองปีต่อมา แต่หลังจากสงคราม Osaka Natsu No-jin ในปีค.ศ.1615 ตระกูล Toyotomi ถูกฆ่าล้างโคตร Tenshukaku ก็ถูกทำลายลงย่อยยับ ต่อมาได้รับการบูรณะใหม่ในสมัย Tokugawa แต่น่าเสียดายที่ในปีค.ศ.1665 ได้ถูกฟ้าฝ่าเสียหายย่อยยับอีกครั้งหนึ่ง ทำให้ปราสาทโอซาก้าไม่มี Tenshukaku มานานปี จนกระทั่งในปี 1931 นายกเทศมนตรีเมืองโอซาก้า นาย Seki ได้ขอรับเงินบริจาคจากชาวเมืองจำนวนหนึ่งล้านห้าแสนเยน (เท่ากับราว 75,000 ล้านเยนในปัจจุบันนี้) มาบูรณะปราสาทใหม่

ปราสาทโอซาก้าปัจจุบันสูง 55 เมตร มี 5 ส่วน 8 ชั้น เครื่องประดับหลังคาและภาพเสือบนกำแพงตัวปราสาทและหลายๆส่วนลงทองสีอร่ามสวยงาม (ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกสำคัญของประเทศ) บนหอคอยชั้น 8 ของ Tenshukaku ท่านสามารถมองเห็นทิวทัศน์โดยรวมของ เมืองโอซาก้าได้อย่างชัดเจน ในแต่ละปีจะมีนักท่องเที่ยวจากทั้งในและนอกประเทศมาเยือนปีละราว 1-3 ล้านคน
นอกจากตัว Tenshukaku อันงดงามแล้ว ภายในตัวปราสาท ยังมีนิทรรศการแสดงหลักฐาน ภาพเขียน เครื่องแต่งกายโบราณ ฯลฯที่เกี่ยวข้องกับประสาทและตระกูล Toyotomi อยู่ ส่วนบริเวณรอบๆปราสาทก็เป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ที่มีดอกไม้ใบไม้งามสะพรั่งในทุกๆฤดู เป็น ที่พักผ่อนหย่อนใจของชาวเมืองด้วย


ทั้ง Osaka Castle Park ครอบคลุมประมาณสองกิโลเมตรมีจำนวนมากพื้นที่สีเขียวสิ่งอำนวยความสะดวกกีฬา arena อเนกประสงค์ (Osakajo Hall) และ Hokoku ศาลเฉพาะเพื่อ Toyotomi ฮิเดโยชิ สวนเป็นหนึ่งในจุดยอดนิยมของฮานามิโอซาก้าในช่วง ฤดูซากุระ ซึ่งมักจะเกิดขึ้นในช่วงต้นเดือนเมษายน

วันนี้หมิวจะเอารอบๆปราสาทมาให้ดูน่าค่ะ




สามารถเดินทางได้ด้วยรถโดยสารดังนี้




โดยชินคันเซ็น :
โตเกียว และ โอซาก้า เชื่อมต่อด้วยกันโดย JR Tokaido ชินคันเซ็น รถไฟโนโซมิต้องใช้เวลา 155 นาทีถึง Shin - Osaka Station จาก โตเกียว รถไฟ Hikari มีประมาณ 20 นาทีช้ากว่าโนโซมิในขณะที่รถไฟ kodama ใช้เวลาประมาณสี่ชั่วโมง

ค่าโดยสารทางเดียวปกติจากโตเกียวไปโอซาก้าเป็น 13,240 เยนโดยไม่จองที่นั่งบนรถไฟใด ๆ 13,500 Yen โดยจองที่นั่งบน kodama หรือรถไฟ Hikari และรอบ 13,800 Yen โดยจองที่นั่งบน รถไฟโนโซมิ Japan Rail Pass ถูกต้องใน Hikari และรถไฟ kodama แต่ไม่จองบนรถไฟโนโซมิ

กับ"Hikari Hayatoku Kippu"คุณสามารถเดินทางจากโตเกียวไปโอซาก้าโดย reserved ที่นั่งบนรถไฟ Hikari เพียง 12,000 เยน คุณต้องซื้อ"Hikari Hayatoku Kippu"อย่างน้อยหนึ่งสัปดาห์ล่วงหน้าก่อนวันออกเดินทาง

กับ"Puratto Kodama Economy Plan"คุณสามารถเดินทางจากโตเกียวไปชินโอซาก้าโดยจองที่นั่งบนรถไฟ kodama เพียง 10,000 เยนและจะได้รับหนึ่งเครื่องดื่มฟรี "Puratto Kodama Economy Plan"ได้ที่จะซื้ออย่างน้อยหนึ่งวันก่อนการเดินทาง
ชาวต่างชาติเข้าโตเกียวเป็นเที่ยวข้างจากโอซาก้า, ควรพิจารณา JTB 's Free Plan โตเกียว 2 วัน แพคเกจทัวร์ซึ่งประกอบด้วยการเดินทางรอบจากโอซาก้าไปโตเกียวโดยชินคัน Hikari และคืนหนึ่งที่โตเกียวโรงแรมในเริ่มต้นที่น่าทึ่ง ราคาเพียง 22,500 เยนต่อคน


โดยรถไฟท้องถิ่น :
โดย รถไฟท้องถิ่น ที่การเดินทางทางเดียวจากโตเกียวโอซาก้าใช้เวลาประมาณ 9-10 ชั่วโมงและมักจะเกี่ยวข้องกับการประมาณสี่โอนรถไฟ ค่าโดยสารปกติมีราคาแพง 8510 เยน แต่มี Seishun 18 Kippu คุณสามารถเดินทางสำหรับน้อยได้ตามที่ 2,300 เยน


โดยรถบัส :
การเดินทางทางเดียวจากโตเกียวโอซาก้าโดย รถบัสทางหลวง ใช้เวลาประมาณ 8 ชั่วโมง มีรถเวลากลางวันและกลางคืนมี การแข่งขันระหว่าง บริษัท รถบัสที่โตเกียว -- โอซาก้าเป็นเส้นทางที่รุนแรงและมีการผลิตต่างๆ ให้ส่วนลด
ต่ำสุดค่าโดยสารทางหนึ่งผู้ประกอบการรถโดยสารลดราคาเช่น Willer Express , 5000 เริ่มต้นรอบเย็น รถในระดับราคานี้มักจะมีรถโดยสารมาตรฐานที่สบายๆ การเดินทางทางเดียวโดยขึ้นค่ารถประมาณ 8500 เยนสบาย โปรดเยี่ยมชม หน้ารถทางหลวง รายละเอียดเพิ่มเติม


โดยเครื่องบิน :
ค่าโดยสารทางเดียวปกติระหว่างโตเกียวและโอซาก้าประมาณ 19,000 เยน แต่นักท่องเที่ยวน้อยต้องจ่ายเกินกว่า 13,000 ขอบคุณเย็นที่หลากหลาย ส่วนลดเที่ยวบินภายในประเทศ

ที่ยวบินระหว่างโตเกียวและโอซาก้าใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมง เที่ยวบินส่วนใหญ่ใช้โตเกียว สนามบินฮาเนดะ และโอซาก้า Itami Airport จำนวนน้อยยังให้บริการเที่ยวบินโตเกียว นาริตะสนามบิน และโอซาก้า คันไซสนามบิน

หมิวพาทุกคนไปเที่ยวมาหลายๆที่ ตอนนี้ทุกคนคงหิวแล้วซิน่าค่ะ งั้นหมิวจะพามาทานร้านราเม็งที่มีให้เลือกเยอะที่สุดในญี่ปุ่นเลยค่ะ


ขอเล่าประวัติของราเม็งสักเล็กน้อยนะคะ เนื่องจากท่าเรือใหญ่ของญี่ปุ่นนั้นคือเมืองโยโกฮาม่า และก็อยู่ไม่ไกลจากโตเกียวด้วย ทำให้โยโกฮามาเปรียบเหมือนประตูแห่งญี่ปุ่นเลยละค่ะ

เพราะว่าชาวต่างชาติใครไปใครมาก็จะมาหยุดอยู่ที่ท่าเรือโยโกฮามาก่อนจะเข้าโตเกียว ทำให้มีวัฒนธรรมนานาชาติผ่านเข้าสู่ญี่ปุ่น ณ จุดนี้ ซึ่งราเม็งก็เป็น 1 ในวัฒนธรรมที่ชาวจีนนำเข้ามาด้วยตอนที่อพยพมาทำงานตามเมืองท่าเรือ ในช่วงแรกเรียกว่าบะหมี่จีน พอคนญี่ปุ่นมาชิมปุ๊บก็เลยติดใจและดัดแปลงรสชาติให้เข้ากับคนญี่ปุ่น เกิดเป็นราเม็งน้ำข้นบ้างน้ำใสบ้าง มีเนื้อหมูฝานเป็นแผ่นบางๆ ส่วนใหญ่มักเป็นหมูมีมันตรงกลาง

ราเม็งมีหลากหลายชนิดแตกต่างกันตามภูมิภาค โดยชนิดของราเม็งจะแบ่งตาม เส้นก๋วยเตี๋ยว เนื้อ และน้ำซุป สามอย่างนี้เป็นหลัก โชยุราเม็ง (ราเม็งซีอิ๊ว), มิโซะราเม็ง, พลายราเม็ง, บันชูราเม็ง, ทะกะยะมะราเม็ง, โอโนะมิจิราเม็ง, จุ้ยราเม็ง, ปาล์มราเม็ง จุดเด่นอยู่ที่น้ำซุปราเม็งที่แสนจะเข้มข้น กับเส้นเหนียวนุ่มนี่ละค่ะ ที่ราเม็งมิวเซียม มีทั้งหมด 3 ชั้นด้วยกันค่ะ ตามแผนที่ด้านล่าง แต่ละชั้นก็จะแตกต่างกันออกไป
"Shinyokohama Raumen Museum"เป็นพิพิธภัณฑ์เฉพาะเกี่ยวกับ ราเม็ง เป็นที่นิยมมากเกี่ยวกับ จานก๋วยเตี๋ยวญี่ปุ่น ที่ถูกนำมาจากประเทศจีน



ในชั้นแรกจะมีอัลบั้มที่นำเสนอพิพิธภัณฑ์ราเมนบะหมี่ราเม็งประวัติศาสตร์ของประเทศญี่ปุ่นรวมถึงความสำเร็จใหญ่ของ ราเม็งทันที จะแสดงหลากหลายก๋วยเตี๋ยวซุป toppings, และชามที่ใช้ในประเทศญี่ปุ่นและแสดงวิธีทำเส้นก๋วยเตี๋ยว เครื่องมือในการใช้ผลิตเส้นราเม็ง และราเม็งชนิดต่างๆ และมีร้านขายสินค้า ของที่ระลึกก็จะเป็นพวกราเม็งกึ่งสำเร็จรูปเอาไปทำกินเองที่บ้าน มีอุปกรณ์การกินราเม็งมากมาย เช่น ชาม ถ้วย ช้อน ตะเกียบ เส้นที่เอาไว้ทำราเม็งค่ะ
และถ้าเพื่อน ๆ มาเที่ยวไม่ว่าจะเป็นที่นี่หรือไปเที่ยวที่ไหนสิ่งที่ขาดไม่ได้คงจะเป็นพวกของฝากหรือของที่ระลึกต่าง ๆ ใช่มั้ยค่ะ ที่พิพิธภัณฑ์ราเม็งแห่งนี้ก็มีให้เพื่อน ๆ ได้เลือกกันอย่างมากมาย เอาเป็นว่าอาจจะถือกลับไม่ไหวเลยด้วยซ้ำ

มีการแสดงบะหมี่ในแนวต่างๆค่ะ มาเพื่อรับประทานในอวกาศในสภาพที่ไร้แรงโน้มถ่วง ประมาณว่าตัดซองปั๊บ พอบะหมี่ลอยออกมาก็งับเข้าปากได้เลยค่ะ แหม คนญี่ปุ่นนี่ช่างคิดจริงๆ >_< และที่เด็ดที่สุดเลยต้องเป็นชั้นใต้ดินค่ะ เพราะในชั้นใต้ดินแห่งนี้มีร้านขายราเม็งอยู่มากมายค่ะ ตกแต่งในสไตล์ย้อนยุคไปช่วงประมาณ พ.ศ. 2500 และไม่ได้เด่นเรื่องบรรยากาศแค่นั้นนะ รสชาตินี่สุดยอดเลยด้วย ในสองชั้นใต้ดินผู้เข้าชมสามารถสำรวจจำลอง 01:01 ของถนนบางและบ้านของ Shitamachi, เมืองเก่าของ โตเกียว ของรอบปี 1958 เมื่อราเม็งนิยมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและ ได้ดีภัตตาคารราเม็งสามารถพบมีแต่ละห้องมีจานราเม็งจาก ภูมิภาคต่างๆของญี่ปุ่น นอกจากร้านขายราเม็งแล้วยังมีร้านค้าสมัยเก่าอีกหลายร้าน ไม่ว่าจะเป็นร้านขายขนมแบบย้อนยุค หรือร้านขายของฝากก็มีอยู่หลายร้านเช่นกัน ร้านราเม็งที่ราเม็งมิวเซียมแห่งนี้ มีเพียง 8 ร้านที่ผ่านการคัดเลือกว่าทำราเม็งได้อร่อยที่สุดในญี่ปุ่นเลยทีเดียวค่ะ โดยแต่ละร้านจะมาจากเมืองแห่งราเม็ง เช่น ซัปโปโร, ฟูคุชิมะ, วาคายามะ, ฮากาตะ แหม สำหรับราเม็งเลิฟเวอร์นี่ห้ามพลาดเด็ดขาด วิธีการทานราเม็งที่นี่ออกจะแปลกสักนิดนะคะ คือเราต้องเลือกร้านราเม็งที่ถูกใจก่อน โดยที่หน้าร้านจะมีตู้กดเลือกชนิดของราเม็งที่เราสนใจ มีรูปพร้อมราคาบอกไว้เสร็จสรรพ เรามีหน้าที่ใส่เงินเข้าไป แล้วกดเลือกป้ายที่ต้องการ คูปองของราเม็งชนิดที่เราต้องการก็จะหล่นลงมา เราก็เอาคูปองนั้นเข้าไปนั่งในร้านยื่นให้พนักงานรอคิวสักครู่ เมื่อที่นั่งในร้านว่างจึงจะเข้าไปรับประทานได้ค่ะ การเดินทางมาที่พิพิธภัณฑ์ราเท็งค่ะ มาถึงที่โยโกฮาม่า จากสถานีชินโยโกฮาม่าขึ้นไปทางเหนือ ไม่ไกลนัก เราจะพบ พิพิธภัณฑ์ราเม็ง (Shin Yokohama Raumen Museum) หรือที่เรียกกันว่า ราเม็งมิวเซียม นั่นเองค่ะ เปิด 11.00 - 23.00 น. (เข้าก่อน 22.00 น.) พอจ่ายค่าบัตรผ่านประตูผู้ใหญ่ 300 เยน เด็ก 100 เยน (ไม่รวมค่าราเม็งนะจ้ะ) เสร็จแล้วก็เข้าไปชมข้างในกันได้เลยค่ะ




ซึ่งสามารถขึ้นรถมาได้ดังนี้ค่ะ

Tokyu Toyoko Line
ประมาณ 25 นาทีและ 260 เยนจากสถานีชิบุยะ
Toyoko Line เป็นวิธีที่ถูกที่สุดจะได้รับจากการ kyo และโยโกะฮา ให้แน่ใจว่ากระดาน จำกัด แสดง หรือ แสดง รถไฟตามที่เร็วกว่า ในพื้นที่ รถไฟ แต่ราคาเดียวกัน โยโกฮามาจากสถานีรถไฟทำงานต่อไปใน Minato Mirai Line เพื่อ Motomachi - Chukagai เสนอเข้าถึงสะดวกที่สุดของโยโกฮามาของสถานกลาง

JR Tokaido Line
ประมาณ 25 นาทีและ 450 เยนจากสถานีโตเกียว
ประมาณ 20 นาทีและ 280 เยนจาก Shinagawa Station
Tokaido Line ให้การเชื่อมต่อที่เร็วที่สุดระหว่าง โตเกียว

สถานี Yokohama Station
JR Yokosuka Line
ประมาณ 30 นาทีและ 450 เยนจากสถานีโตเกียว
ประมาณ 20 นาทีและ 280 เยนจาก Shinagawa Station
Yokosuka Line เป็นเพียงเล็กน้อยช้ากว่า Tokaido Line ตะวันตกเฉียงเหนือของโตเกียวสถานีสายจึงเป็น Sobu Line และให้การเชื่อมต่อโดยตรงไปยังสนามบินนาริตะบะและ

JR Shonan Shinjuku Line
ประมาณ 30 นาทีและ 540 เยนจากสถานีชินจูกุ
ประมาณ 20 นาทีและ 380 เยนจากสถานีชิบุยะ
Shonan Shinjuku Line ให้เชื่อมต่อโดยตรงระหว่าง โยโกฮามา และ Shinjuku , Shibuya และ Ikebukuro ในใจกลางโตเกียวและไซตามะ, กุมมะและ Tochigi prefectures เหนือของโตเกียว

JR - Line Keihin โตโฮกุ
ประมาณ 40 นาทีและ 450 เยนจากสถานีโตเกียว
ประมาณ 30 นาทีและ 280 เยนจาก Shinagawa Station
Keihin - Line โตโฮกุ เป็นช้ากว่าการเชื่อมต่อพื้นที่ระหว่างโตเกียวและโยโกฮาม่า ทางใต้ของสถานีโยโกฮามาสายจึงเป็น Negishi Line และให้การเข้าถึงแหล่งท่องเที่ยวต่างๆในภาคกลางและภาคใต้โยโกฮาม่า

Line Keihinkyuko Keikyu
ประมาณ 20 นาทีและ 290 เยนจาก Shinagawa Station
รถไฟเชื่อม Keikyu Shinagawa กับโยโกฮามาและ สนามบินฮาเนดะ "Rapid จำกัด แสดง"รถไฟที่เร็วที่สุด

JR Tokaido ชินคันเซ็น
ประมาณ 15 นาทีจากโตเกียวไปสถานีชินโยโกฮาม่า
All รถไฟไปตาม Tokaido ชิน หยุดที่ Shin - Yokohama Station ชินโยโกฮามาเป็นรถไฟประมาณ 10-15 นาทีจากสถานีโยโกฮาม่าและเมืองศูนย์กลางของโยโกฮามา

จากสนามบิน
สนามบินใกล้กับโยโกฮามาเป็นนานาชาติ นาริตะสนามบิน ภายในประเทศและ สนามบินฮาเนดะ กรุณาเยี่ยมชมสนามบินหน้าตามลำดับสำหรับรายละเอียดการเข้าถึง

งั้นเรามาดูข้างในของพิพิธภัณฑ์กันเลยดีกว่าค่ะ



วันเสาร์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2553

"หอคอย Tsutenkaku" ดูสวยมากเลยค่าในเวลากลางคืน งั้นมาดูรายละเอียดของหอคอยกันดีกว่าค่ะ

หอคอย Tsutenkaku เป็นสัญญลักษณ์อย่างหนึ่งของโอซาก้า สร้างขึ้นเป็นครั้งแรกในค.ศ. 1912 เพื่อเป็นเครื่องหมายของเมืองใหม่ "Shinsekai" ซึ่งเป็นสถานที่จัดงานเอกซ์โปในประเทศ ตัวอาคารใช้ Arc de triomphe del'Etoile และตัวหอคอยนั้นใช้หอไอเฟลของฝรั่งเศส เป็นแม่แบบในการสร้าง สูง 64 เมตร นับเป็นหอคอยที่สูงที่สุดในเอเซียในขณะนั้น ชื่อ Tsutenkaku เป็นชื่อที่นาย Fujisawa Nangaku นักปรัชญาขงจื๊อในสมัยเมจิได้ตั้งให้ หมายความว่า "อาคารสูงระฟ้า" ต่อมา หอคอยต้องถูกรื้อถอนออกไปเพราะถูกไฟไหม้เสียหาย จนกระทั่ง ในปีค.ศ. 1956 ชาวเมืองได้ขอให้ทางการสร้างหอคอยใหม่ หอคอยอันปัจจุบันนี้นับเป็นหอคอยรุ่นที่สองสูง 103 เมตร สูงกว่าหอคอยรุ่นแรก 39 เมตร ที่ชั้น 5 มีห้องโถงและกล้องส่องทางไกลที่สามารถมองเห็นวิวทั่วเมืองได้ และยังมีรูปปั้นของเทพเจ้า Biligen ซึ่งเชื่อกันว่าถ้าได้ ลูบเท้าแล้ว ผู้ลูบจะโชคดีมีสุข

หอคอยซึเท็นกะกุ (Tsutenkaku Tower) หรือ หอไอเฟลแห่งนานิวะ (Eiffel Tower Of Naniwa) เมื่อท่านได้ไปเที่ยวเด็นเด็นทาว์น (เหมือนพันธุ์ทิพบ้านเราเพราะขายอุปกรณ์จำพวกคอมพิวเตอร์ ดีวีดี และอุปกรณ์เทคโนโลยีต่างๆ) หอคอยซึเท็นกะกุ (Tsutenkaku Tower) นี้เป็นหอคอยสูง เวลากลางคืนจะเปิดไฟแสงสีสลับไปมาตลอดเวลาค่ำคืน


ในปีหนึ่งๆมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาชมหอคอย Tsutenkaku ราวปีละ 7 แสนคน นอกจากนั้น ที่ยอดหอคอยยังมีไฟนีออนกลมๆประดับตลอดปี หากไฟนีออนเป็นสีขาว แสดงว่าอากาศในวันรุ่งขึ้นจะดี สีส้ม หมายความว่าวันรุ่งขึ้นจะมีเมฆมาก สีเขียว ฝนจะตก ชั้นใต้ดินของตัวอาคาร ถ้าสีของหอคอยเป็นสีน้ำเงินแสดงว่าอากาศแจ่มใสดี มีแดด แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นสีเหลือง นั่นหมายถึงหิมะจะตกในไม่ช้า (แต่หิมะไม่ตกมานานแล้วที่เมืองโอซาก้า)
เฉพาะเสาร์อาทิตย์จะมีโรงละคร และมีการแสดงของนักร้องเพลงลูกทุ่งญี่ปุ่น ชั้นบนสุดเป็นจุดชมวิว สามารถขึ้นไปชมวิวทิวทัศน์ได้

วันนี้ Shinsekai มีชื่อเสียงเป็นหนึ่งในละแวกใกล้เคียงและเป็นอันตรายต่อเมล็ดญี่ปุ่น, ความจริงที่ขึ้นสะท้อนของมาตรฐานของประเทศความปลอดภัยกว่าสิ่งอื่น แต่มีประชากรไม่มีที่อยู่อาศัยใหญ่มากรอบ Shinsekai และเพื่อนบ้านทางใต้ของ JR เพลงรถไฟเป็นหนึ่งในไม่กี่พื้นที่ในญี่ปุ่นที่เปิดค้าประเวณีเกิดขึ้นโดยไม่ต้องรบกวนตำรวจมาก


การเดินทางสามารถไปได้ดังนี้

โดยชินคันเซ็น :
โตเกียว และ โอซาก้า เชื่อมต่อด้วยกันโดย JR Tokaido ชินคันเซ็น รถไฟโนโซมิต้องใช้เวลา 155 นาทีถึง Shin - Osaka Station จาก โตเกียว รถไฟ Hikari มีประมาณ 20 นาทีช้ากว่าโนโซมิในขณะที่รถไฟ kodama ใช้เวลาประมาณสี่ชั่วโมง

ค่าโดยสารทางเดียวปกติจากโตเกียวไปโอซาก้าเป็น 13,240 เยนโดยที่นั่งไม่จอง บนรถไฟใด ๆ 13,500 Yen โดยจองที่นั่งบน kodama หรือรถไฟ Hikari และรอบ 13,800 Yen โดยจองที่นั่งบน รถไฟโนโซมิ Japan Rail Pass ใน Hikari และรถไฟ kodama แต่ไม่บนรถไฟโนโซมิ กับ"Hikari Hayatoku Kippu"คุณสามารถเดินทางจากโตเกียวไปโอซาก้าโดย ที่นั่งบนรถไฟ Hikari เพียง 12,000 เยน คุณต้องซื้อ"Hikari Hayatoku Kippu"อย่างน้อยหนึ่งสัปดาห์ล่วงหน้าก่อนวันออกเดินทาง

กับ"Puratto Kodama Economy Plan"คุณสามารถเดินทางจากโตเกียวไปชินโอซาก้าโดยจองที่นั่งบนรถไฟ kodama เพียง 10,000 เยนและจะได้รับหนึ่งเครื่องดื่มฟรี "Puratto Kodama Economy Plan"ได้ที่จะซื้ออย่างน้อยหนึ่งวันก่อนการเดินทาง
ชาวต่างชาติเข้าโตเกียวเป็นเที่ยวข้างจากโอซาก้า, ควรพิจารณา JTB 's Free Plan โตเกียว 2 วัน แพคเกจทัวร์ซึ่งประกอบด้วยการเดินทางรอบจากโอซาก้าไปโตเกียวโดยชินคัน Hikari และคืนหนึ่งที่โตเกียวโรงแรมในเริ่มต้นที่น่าทึ่ง ราคาเพียง 22,500 เยนต่อคน

โดยรถไฟท้องถิ่น :
โดย รถไฟท้องถิ่น ที่การเดินทางทางเดียวจากโตเกียวโอซาก้าใช้เวลาประมาณ 9-10 ชั่วโมงและมักจะเกี่ยวข้องกับการประมาณสี่โอนรถไฟ ค่าโดยสารปกติมีราคาแพง 8510 เยน แต่มี Seishun 18 Kippu คุณสามารถเดินทางสำหรับน้อยได้ตามที่ 2,300 เยน
โดยรถบัส :
การเดินทางทางเดียวจากโตเกียวโอซาก้าโดย รถบัสทางหลวง ใช้เวลาประมาณ 8 ชั่วโมง มีรถเวลากลางวันและกลางคืนมี
ต่ำสุดค่าโดยสารทางหนึ่งผู้ประกอบการรถโดยสารลดราคาเช่น Willer Express , 5000 เริ่มต้นรอบเย็น รถในระดับราคานี้มักจะมีรถโดยสารมาตรฐานที่สบายๆ การเดินทางทางเดียวโดยขึ้นค่ารถประมาณ 8500 เยนสบาย โปรดเยี่ยมชม หน้ารถทางหลวง รายละเอียดเพิ่มเติม

โดยเครื่องบิน :
ค่าโดยสารทางเดียวปกติระหว่างโตเกียวและโอซาก้าประมาณ 19,000 เยน แต่นักท่องเที่ยวน้อยต้องจ่ายเกินกว่า 13,000 ขอบคุณเย็นที่หลากหลาย ส่วนลดเที่ยวบินภายในประเทศ
เที่ยวบินระหว่างโตเกียวและโอซาก้าใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมง เที่ยวบินส่วนใหญ่ใช้โตเกียว สนามบินฮาเนดะ และโอซาก้า Itami Airport จำนวนน้อยยังให้บริการเที่ยวบินโตเกียว นาริตะสนามบิน และโอซาก้า คันไซสนามบิน

ของเมือง โอซาก้า ให้บริการโดยทั่วกัน 7 รถไฟ และรถไฟใต้ดินบริษัท มากที่สุดที่เกี่ยวข้องกับนักท่องเที่ยวต่างชาติของโอซาก้าเป็นสายใต้ดินและเส้นที่ดำเนินการโดย JR West สายดำเนินการโดย บริษัท รถไฟเอกชนอื่น ๆ มีประโยชน์สำหรับการเข้าเมืองและภูมิภาคใกล้เคียง

JR West
JR West ดำเนินงานเครือข่ายหนาแน่นของสายรถไฟท้องถิ่นใน Osaka พื้นที่ เส้นที่เด่นชัดที่สุดคือ Osaka Loop Line ไปที่เทียบเท่า โตเกียว Yamanote Line JR ยังทำงานสายไปยัง สนามบินคันไซ , โกเบ , เกียวโต , นารา และ Universal Studios ชินคันเซ็น (รถไฟ bullet) หยุดที่ Shin - Osaka Station
รถไฟใต้ดิน

โอซาก้า มี7สายที่รถไฟใต้ดินที่ครอบคลุมโดยเฉพาะ Line พื้นที่ภายใน Osaka Loop รถไฟใต้ดินที่มีการเชื่อมต่อที่รวดเร็วที่สุดระหว่างโอซาก้าหลักสองอำเภอตะและ มินามิ และมีมูลค่ามากถึงนักท่องเที่ยวต่างชาติทั่วไป
รถไฟ Nankai
Nankai รถไฟเชื่อมต่อให้จาก Namba ไปใต้โอซาก้า, คันไซ Airport , Wakayama และ Mount Koya (Koyasan)
รถไฟ Hankyu
รถไฟ Hankyu Umeda Station เชื่อมต่อกับภาคเหนือของโอซาก้า, โกเบ และ เกียวโต

รถไฟ Kintetsu
Kintetsu รถไฟเชื่อมกับเมืองโอซาก้ามากในภาคใต้ Kinki ภูมิภาค รวมทั้ง นารา , เกียวโต , Yoshino, ISE และ นาโงย่า เส้นเริ่มต้นที่ Namba, Tennoji และ Nagata สถานี

รถไฟ Hanshin
Hanshin รถไฟเชื่อมต่อ โอซาก้า กับ โกเบ เส้นเริ่มต้นที่ Umeda และ Nishikujo สถานี

รถไฟ Keihan
Keihan รถไฟเชื่อมต่อกับ โอซาก้า และ เกียวโต เส้นเริ่มต้นที่สถานี Yodoyabashi

เรามาดูที่หอคอย Tsutenkaku กันดีกว่าค่ะ




วันนี้หมิวจะพาไปเที่ยว โตเกียวดิสนีย์แลนด์!!!

ดิสนีย์แลนด์ (Disneyland) คืนความฝันที่ วอลท์ ดิสนีย์ (Walt Disney)ทำให้เป็นความจริงได้แล้ว หลังจากที่มันเป็นสิ่งที่ฝังอยู่ในหัวใจของเขามา ในดิสนีย์แลนด์ ได้แบ่งออกเป็นอาณาจักรต่างๆ เริ่มจาก เมน สตรีท (Main Street) อันเป็นถนนแห่งอดีตในช่วง ค.ศ. 1910-1980 ของสหรัฐอเมริกา ต่อจากนั้นก็เป็น แอ๊ดเวนเจอร์แลนด์ (Advanture Land) ดินแดนแห่งป่าดงดิบ เอเชีย แอฟริกา ที่ต้องนั่งเรือเลาะไปตามลำน้ำเรื่อยไปจนถึงชีวิตลูกทุ่งตะวันตกของอเมริกา แฟนตาซีแลนด์ (Fantasy Land) เด็กๆ จะมีความสุขกับตัวการ์ตูนต่างๆ ในบรรยากาศแห่งเทพนิยาย สู่ปราสาทของเจ้าหญิงนิทรา จากดินแดนแห่งความฝัน ทะลุเขาแมตเตอร์ฮอร์จำลอง ผ่านไปสู่ ทูมอร์โรว์แลนด์ (Tomorrow Land) อาณาจักรแห่งอนาคต ซึ่งที่นี่เด็กๆจะสามารถขึ้นจรวดออกไปสู่นอกโลกและมีจินตนาการไกลออกไปจาก ปัจจุบันชื่อเสียงของดิสนีย์แลนด์ ขจรขจายไปทั่วโลก กลายเป็นอาณาจักรแห่งความสุขที่ตั้งอยู่ในทวีปอเมริกาเหนือซึ่งคนหรือเด็ก ทั้งโลกใฝ่ฝันถึง เป็นสัญลักษณ์แห่งความสุขเป็นอมตะ

ทศวรรษ 1950 เป็นช่วงที่สหรัฐฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศให้เฟื่องฟูขึ้น วอลท์ ดิสนีย์ (Walt Disney)ก็ประกาศจะสร้าง ดิสนีย์แลนด ์(Disneyland) แดนแห่งความหฤหรรษ์ขึ้น โดยซื้อที่ 160 เอเคอร์ที่เมือง อนาเฮม อันเป็นเมืองปลูกสวนส้ม มีพื้นที่ราบเรียบอยู่นอกเมือง สอสแองเจลิส (Los Angeles)ไปอีก ที่นั่น วอลท์ ดิสนีย์ (Walt Disney)ได้ค่อยๆ แปรความนึกคิดความฝันของเขาให้เป็นจริง เขาได้ตั้งแผนกงานที่มีความสำคัญที่สุดในการสร้างดิสนีย์แลนด์ คือ ดับบลิว.อี.ดี (วอเตอร์ เอเลียส ดิสนีย์) เอนเตอร์ไพรส์ ซึ่งเป็นแผนกวิจัยทั้งการสร้าง, การสถาปัตย์, วิศวกรรม ระบบสเปเชียลเอฟเฟค การหาข้อมูลออกแบบเพื่อการก่อสร้างอาณาจักรต่างๆ ที่มีอยู่ในดิสนีย์แลนด์ ซึ่งในการสร้างดิสนีย์แลนด์ เขาได้เสี่ยงในทุกด้านคือ ได้กู้ยืมเงิน ขายทรัพย์สินที่มีอยู่แทบทั้งหมดมาเพื่อการลงทุน เนรมิตดินแดนที่ราบเรียบมีแต่สวนส้มและต้นวอลนัท ให้เป็นแม่น้ำ ภูเขา ปราสาท จรวดลำมหึมา ฯลฯ จนในที่สุด งานของเขาก็แล้วเสร็จใน วันที่ 17 กรกฎาคม 1955


ดิสนีย์เวิร์ลด์ (Disney World ) โลกแห่งความเป็นจริง


คราวนี้ เราได้มุ่งสู่ดินแดนทางตะวันออกของอเมริกา ใน ค.ศ 1965 และซื้อที่ดิน 27,443 เอเคอร์ เป็นที่ป่าสนใกล้เมืองออลันโดอยู่ใจกลางรัฐแห่งแสงตะวันสดใส ฟลอริดา การวางแผนงานสวนสนุกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกได้ดำเนินการทันที โดยบางส่วนได้นำมาจากผังของดิสนีย์แลนด์ แต่มโหฬารไพศาลกว่า ไม่เพียงแต่จะเป็นสวนสนุกอย่างเดียว แต่เป็นอาณาจักรที่เป็นเอกเทศ มีทั้งโรงแรม โมเต็ล สนามกอล์ฟ และพื้นที่สีเขียวกับน้ำสีครามเพื่อให้ประชาชนได้มาพักผ่อนเป็นที่น่า เสียดายว่า หลังจากที่ วอลท์ ดิสนีย์ ได้สร้างการ์ตูนเรื่องสุดท้าย เมาคลี ลูกหมาป่า เขาก็ป่วยด้วยโรคมะเร็งที่ปอด เพียงปีเดียวที่การตกลงสร้างดิสนีย์เวิร์ลด์ วอลท์ ดิสนีย์ ก็ถึงแก่กรรมในวันที่ 15 ธันวาคม ค.ศ. 1966 ที่โรงพยาบาล เซนต์ โยเซฟ

แต่ เขาก็วางรากฐาน ความคิดและความหวังทั้งมวลไว้ให้กับ ดิสนีย์ เวิร์ล แล้วงานทุกอย่างภายใต้การดำเนินงานของ ดับบลิว.อี.ดี เอนเตอร์ไพรส์ ก็ก้าวไปเรื่อย การก่อสร้างได้ดำเนินการอย่างจริงจังใน ค.ศ. 1969 โดยมีกำหนดการสร้างเพียง 2 ปี มีการขุดทะเลสาป เซเว่น ซีส์ ลากูน เนื้อที่ 200 เอเคอร์ มีสนามกอล์ฟ 18 หลุม มาตรฐานและโรงแรมชั้นหนึ่ง 2 โรงแรม นอกเหนือจากตัวอาณาจักรมหัศจรรย์ ซึ่งแบ่งออกเป็น 6 อาณาจักรคือ เมน สตรีท,ยู.เอส.เอ แอ็ดแวนเจอร์แลนด์, ฟรอนเทียร์แลนด์,ลิเบอร์ตี้ สแควร์,แฟนตาซีแลนด์ และทูมอร์โรว์แลนด์ ทุกอาณาจักร มีภัตตาคาร ร้านค้าและเกมส์สนุกๆอีกมากมาย นอกจากการทำสวนพฤกษาชาติปลูกต้นไม้ทุกชนิดในโลก ยังมีการสรรหาสิ่งต่างๆทั่วโลกมาประกอบอยู่ในดิสนีย์ เวิร์ลด์ ไม่ว่าจะเป็นระบบรถรางเดียวลอยฟ้า โมโนเรลจากรัฐวอชิงตัน หัวรถไฟไอน้ำเก่าแก่ซึ่งค้นพบโดยทีมงาน ดับบลิว.อี.ดี ได้มาจากแม็กซิโกเครื่องยนต์แกสเทอร์ไบน์จากแคนาดา เสาและสายเคเบิ้ลของกระเช้าลอยฟ้าจากสวิตเซอร์แลนด์ หรือแม้กระทั่งวิกผมจากกัวเตมาลา

อุปกรณ์ เครื่องเล่นในสวนสนุกต่างๆ ได้รับการผลิตจากโรงงานในข่ายเครือที่แม๊กซิโกแทมป้า ฟลอริดาและจากศูนย์ ดับบลิว.อี.ดี เอนเทอร์ไพรส์ ที่คาลิฟอร์เนีย ชิ้นส่วนนับล้านๆ ชิ้นถูกประกอบที่ ดิสนีย์ เวิร์ลด์ โดยใช้ระบบคอมพิวเตอร์ในการควบคุมในขณะที่เนื้อที่อีก 7,500 เอเคอร์ ได้ถูกปรับปรุง โดยคงสภาพธรรมชาติดั่งเดิม บึง ป่าทึบจะเป็นที่อยู่ของสัตว์ต่างๆ เช่น จระเข้ นกหลายชนิดโดยที่ไม่มีใครไปรบกวนในที่สุด วันที่ 1 ตุลาคม ค.ศ. 1971 ดิสนีย์ เวิร์ลด์ ก็เปิดมิติใหม่ของโลกหฤหรรษ์และสิ่งที่เป็นบทพิสูจน์ว่า ดิสนีย์ เวิร์ลด์ คือดินแดนแห่งความฝันของเด็กๆ และคนทั่วโลกก็คือ เพียงปีแรกที่เปิด มีผู้คนเข้าไปชมดิสนีย์ เวิร์ลด์ถึง 10.8 ล้านคน แม้ในทุกวันนี้ในฤดูร้อน ผู้คนก็ต้องเข้าแถวยาวเหยียด เพื่อผ่านเข้าไปสู่ดินแดนทีมีความสุขอบอวล อาณาจักรมหัศจรรย์ ซึ่งคนทุกวัยจะหัวเราะเล่นและเรียนรู้อย่างเป็นสุขร่วมกันสมดังที่ครั้ง หนึ่ง วอลท์ ดิสนีย์เคยพูดไว้ทั้งๆที่ไม่เคยเห็นอาณาจักรมหัศจรรย์ ดิสนีย์ เวิร์ลด์ ของเขาเลยว่า ผู้คนจะกล่าวขวัญถึงและมาเยี่ยเยียนสถานที่นี้ มากกว่าที่อื่นใดในโลกจากดินแดนแห่งเสรีภาพ สู่แผ่นดินอาทิตย์อุทัย

ทั้งดิสนีย์แลนด์ แห่งเมืองอนาเฮม รัฐคาลิฟอร์เนีย และอาณาจักรมหัศจรรย์ดิสนีย์ เวิร์ลด์ ที่ฟลอริดา กลายเป็นโลกแห่งความหฤหรรษ์ และความฝันของเด็กทั่วโลกที่จะไปสัมผัส ด้วยเหตุนี้จึงมีหลาย ต่อหลายประเทศนักที่หวังจะได้เป็นเจ้าของอาณาจักรมหัศจรรย์ เช่นนี้บ้าง โดยเฉพาะญี่ปุ่น นักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นร้อยละ 99 คนที่เดินทางไปเยือนสหรัฐอเมริกาจะกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า ดิสนีย์แลนด์และดิสนีย์ เวิร์ลด์ เป็นสถานที่ที่พวกเขาประทับใจที่สุดในดินแดนอเมริกาอันที่จริง ญี่ปุ่นก็มีความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ไม่หย่อนไปกว่าสหรัฐอเมริกา และการสร้างสวนสนุกขึ้นมาสักแห่ง ญี่ปุ่นก็คงสามารถทำให้ยิ่งใหญ่ปานเนรมิตได้ไม่แพ้กัน แต่สิ่งเดียวที่ญี่ปุ่นทำไม่ได้ ก็คือความมีชื่อเสียง ความศรัทธา และศักดิ์ศรีแห่งความเป็นอมตะของดิสนีย์แลนด์ ที่ฝังรากลึกในความรู้สึกของคนทั่วโลกว่า นั่นคือ ดินแดนแห่งความฝันที่ไม่มีที่ใดในโลกเทียบได้อีกแล้ว

ดังนั้น ญี่ปุ่นจึงต้องมี ดิสนีย์แลนด์ของญี่ปุ่น ภายใต้กาทำสัญญากับบริษัท วอลท์ ดิสนีย์ โปรดักชั่น และนี่เอง คือจุดที่ความฝันของ วอลท์ ดิสนีย์ ได้แผ่ขยายข้ามทวีปมายังแผ่นดินอาทิตย์อุทัย


ก่อนจะมาเป็นโตเกียวดิสนีย์แลนด์ (Tokyo Disneyland)



มันเริ่มต้นเมื่อ 21 ปีก่อน ในปี ค.ศ. 1962 เมื่อสภาเทศบาลเขตชิบะ กรุงโตเกียว (Tokyo) ได้ตกลงให้บริษัทโอเรียนเทิ่ล แลนด์ วางผังการปรับปรุงพื้นที่ในเขตอุระยะสึ เป็นพื้นที่จรดปากแม่น้ำเอโดะของอ่าว โตเกียว ซึ่งมีเนื่อที่ถึง 874 เฮคตาร์ ให้เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของชาวโตเกียวที่นับวันจะมีพลเมืองแออัดมาก ขึ้น จนแทบจะหาอากาศบริสุทธิ์ไม่ได้ บริษัท โอเรียนเทิ่ล แลนด์ จึงทำการติดต่อบริษัท วอลท์ ดิสนีย์ โปรดักชั่น แห่งสหรัฐอเมริกาโดยเอาแนวรากฐาน หลักความมุ่งมั่นเดิมของการสร้างดิสนีย์แลนด์ และดิสนีย์เวิร์ลด์ มารวมกัน เพื่อสร้างอาณาจักรแห่งโลก หฤหรรษ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดขึ้นเป็นแห่งที่สามของวอลท์ ดิสนีย์ ในดินแดนญี่ปุ่น ในพื้นที่ 874 เฮคตาร์ ของตำบลอุระยะสึ นั่นเองตามสัญญาซึ่งได้ลงนามกันในปี ค.ศ. 1979 ได้ระบุให้สวนสนุกแห่งนี้มีชื่อว่า โตเกียวดิสนีย์แลนด์ (Tokyo Disneyland) และกำหนดให้บริษัท วอลท์ ดิสนีย์ เป็นผู้ให้และวางผังโครงการหลักของสวนสนุกรวมถึงการออกแบบระบบเทคโนโลยี ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะ ในการดำเนินการส่วนต่างๆ ไปจนถึงเพลงต่างๆ ที่ใช้ในอาณาจักรมหัศจรรย์ วอลท์ ดิสนี่ย์ ทั้งสองแห่งในสหรัฐอเมริกาก็จะนำมาให้ที่นี่ด้วย ส่วนบริษัท โอเรียนเทิ่ล แลนด์ จะต้องรับผิดชอบในการก่อสร้างปรับปรุงสถานที่ตามที่ผังวางไว้ทุกอย่าง ซึ่งคาดว่าจะต้องสูญค่าใช้จ่ายทั้งสิ้นเป็นเงินกว่า 500 ล้านเหรียญ สหรัฐ (ประมาณ 11,500 ล้านบาท)

ข้อ ตกลงซึ่งบ่งถึงผลประโยชน์ที่ บริษัท วอลท์ ดิสนีย์ โปรดักชั่น จะได้รับการแบ่งเปอร์เซ็นต์เงินรายได้ของโตเกียว ดิสนีย์แลนด์ โดยคาดว่าจะเป็นเงินก้อนมหาศาลนี้ทำให้ วอลท์ ดิสนีย์ โปรดักชั่น ยอมทุ่มเท ประสบการณ์ ความรู้และความชำนาญงานทั้งหมดให้ โดยเริ่มวางผังสวนสนุก และนำเทคโนโลยีทางโสตทัศนูปกรณ์ตลอดจนกลไกที่ให้การเคลื่อนไหวต่างๆ


อันนี้จะเป็นแผนที่การไปดิสนีย์แลนด์น่าค่ะ




ถ้าอย่างนั้นวันนี้หมิวจะพามาดูรอบๆ ดิสนีย์เเลนด์น่าค่ะ








"วัดคินคะคุจิ" พูดชื่อนี้ทุกคนต้องอ่อ เลยใช่ไม๊ค่ะ เพราะวัดนี้อยู่ในเรื่องอิคคิวซัง งั้นเรามาดูรอบๆของวัดดีกว่าค่ะ

วัดคินคะคุจิ (Kinkakuji Temple) หรือ วัดพลับพลาทอง (Golden Pavilion) หรืออีกชื่อ วัดศาลาทอง เป็นวัดที่ดังเป็นที่รู้จักที่สุดวัดหนึ่งในญี่ปุ่น กล่าวคือหากมาเที่ยวโตเกียวแล้วไม่ได้มาที่วัดนี้ถือว่ายังไม่มาถึงโตเกียว สร้างเมื่อปี พ.ศ. 1940 ศาลาสีทองที่เห็นในปัจจุบันเพิ่งได้รับการแปะผนังทองไปเมื่อปี พ.ศ.2530 ที่ผ่านมา จึงมองเห็นเหลืองอล่ามสะท้อนในสระน้ำอย่างสวยงาม
หากเดินทางไปทางทิศตะวันตกตามถนนคิตะโอจิโดริ จะผ่านสวนสาธารณะฟุนาโอกะยามะโคเอ็น เพื่อไปยังวัดคินคะคุจิ หรือวัดศาลาทอง ซึ่ง รู้จักกันดีที่สุดในเกียวโต วิหารสร้างในปี 1955 จำลองแบบจากของเดิมในศตวรรษที่ 15 และเพิ่งหุ้มทองคำครั้งหลังสุดในปี 1987 วิหารมี 3 ชั้น

โดยชั้นแรกมีลักษณะเป็นพระราชวัง สร้างขึ้นในสไตล์ Shinden ใช้อาคารวังในช่วง ระยะเวลาเฮอัง และมีเสาไม้ธรรมชาติและผนังปูนสีขาวแตกต่างยังเสริมเรื่องปิดทองบนของศาลา รูปปั้นของพระวัต (ประวัติพระพุทธเจ้า) และ Yoshimitsu ถูกเก็บไว้ในชั้นแรก แม้ว่าจะไม่สามารถเข้าศาลา, รูปปั้นสามารถดูได้จากในบ่อถ้าคุณดูอย่างใกล้ๆที่หน้าต่างด้านหน้าของชั้นแรก

ชั้นที่สองเป็นแบบบ้านซามูไร สร้างในสไตล์ Bukke ใช้สำหรับให้ ซามูไร อยู่อาศัยและมีภายนอกที่ครอบคลุมสมบูรณ์ในทอง ภายในมีพระโพธิสัตว์นั่ง Kannon ล้อมรอบด้วยรูปปั้นของ Four Heavenly Kings แต่การปั้นจะไม่แสดงต่อสาธารณชน และบนสุดเป็นตัวในรูปแบบของจีน Zen Hall, และปิดทองอยู่ภายในออกและปกคลุมด้วยต้นอินทผลัมทอง

ส่วนชั้นที่สามเป็นแบบวัดเซน คินคะคุจิตั้งอยู่กลางทัศนียภาพอันเหมาะเจาะ ผืนน้ำในสระกว้างเบื้องหน้าสะท้อนประกายระยับกั้นโอบด้วยแมกไม้ สวนเดินเล่นที่มีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่นตั้งอยู่ในบริเวณคัต สึระริคิว หรือพระตำหนักแปรพระราชฐานคัตสึระ ซึ่งอยู่ทางตะวันตกของสถานีเกียวโตบนฝั่งตะวันตกของแม่น้ำคัดสึระงาวะ

สวนนี้มีเรือนน้ำชาชั้นดีหลายแห่งซึ่งมองออกไปแลเห็นสระน้ำกว้างตรงกลาง ความประณีตงามเรียบของพระตำหนักที่ชูงะคุอิง ทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือซึ่งเป็นอาคารสามชั้นนั้นดูเพริศไปด้วยจินตนาการมากกว่าหากเทียบกับพระตำหนักคัตส



ท่านอาจจะจำได้ การ์ตูนเรื่องอิคิวซัง เณรน้อยเจ้าปัญญา ก็จำลองเรื่องราวเหตุการณ์ของศาลาทองในวัดนี้ให้เป็นปราสาทของท่านโชกุน (โชกุนอาชิกางะ โยชิมิสึ ( Ashikaga Yoshimistsu)) และบุตรชายของเขาที่เป็นเจ้าของพลับพลาหลังนี้ ก่อนที่จะยกให้เป็นทรัพย์สมบัติของวัดโรกุนนอนจิ (Rokuonji : อีกชื่อของวัดนี้) ในเวลาต่อมา พลับพลาหลังนี้เคยถูกลอบวางเพลิงในปี พ.ศ.2493 โดยพระภิกษุที่บวชอยู่ในวัด พระรูปนี้บวชเข้ามาแล้วเกิดความหลงใหลในความงามของพระวิหารและคิดว่าการที่จะเข้าถึงแก่นแท้ของความงานต้องเผาทำลายวัตถุแห่งความงามนั้นไปด้วย จึงได้มีการสร้างใหม่เมื่อปี พ.ศ. 2498


ก่อนทางออกจะมีการขอพรโดยการเขียนขอพรที่แผ่นไม้ “อิกคิว” โดยส่วนมากจะเขียนขอให้มีสติปัญญาหลักแหลม ฉลาดแบบอิกคิวซัง Kinkakuji สามารถเข้าถึงได้จาก สถานีเกียวโต โดยเมืองเกียวโตรถโดยตรงจำนวน 101 หรือ 205 ใน 40 นาทีและ 220 ¥ หรืออาจจะเร็วขึ้นและเชื่อถือได้มากขึ้นที่จะ Karasuma Subway Line เพื่อ Kitaoji Station (15 นาที, 250 เยน) และจะใช้ รถ (10 นาทีประมาณ 900 ¥) หรือ รถบัส (10 นาที, 220 เยนรถบัส 101 ตัวเลข 102, 204 หรือ 205) จากนั้นไป Kinkakuji หรือ

นั่งรถบัสสาย: 101, 102, 204, 205 จากสถานีรถไฟเกียวโต ลงที่ป้าย Kinkakuji-michi แล้วเดินต่ออีก 300 เมตร (ประมาณ 5 นาที) จะถึงทางเข้าวัด

นั่งรถบัสสาย: 12, 59 ลงที่ป้าย Kinkakuji-mae

*** แนะนำให้ซื้อ ตั๋วแบบวันเดย์พาส Kyoto City Buses One Day Pass ในราคา 500 เยน สามารถขึ้นรถบัสในเมืองเกียวโตได้ทุกสายไม่จำกัดจำนวนเที่ยว หาซื้อได้ที่ ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว บริเวณขวามือเมื่อออกจากประตูสถานีรถไฟ (หันหน้าไปที่เกียวโตโดม)

เวลาเปิด :
09.00-17.00 น.

ค่าเข้าชม :
ผู้ใหญ่ 400 เยน
เด็ก 300 เยน


หมิวเอารอบๆของวักคินคะคุจิมาให้ดูน่าค่ะ




วันศุกร์ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2553

วันนี้หมิวจะพาทุกคนมาที่ Shukkeien น่าค่ะ ซึ่งสวนแห่งนี้สวยงามมากเลย ถ้าเพื่อนๆอยากรู้ว่าเป็นยังไงลองเข้ามาดูน่าค่ะ


ชื่อ Shukkeien ที่สามารถแปลเป็นภาษาอังกฤษว่า"ทิวทัศน์ - หดสวน"ซึ่งเป็นคำอธิบายที่ดีของสวนเอง หุบเขาและป่าจะแสดงในขนาดเล็กใน Garden 's landscapes

สวนชุกเคเอ็น เป็นสวนที่สร้างขึ้นริมฝั่งแม่น้ำเคียวบาชิ (Kyobashi-gawa) มีมาตั้งแต่ปีพ.ศ. 2163 โดยนางะอากิระ อาซาโนะ (Nagaakira Asano) ไดเมียวผู้ปกครองฮิโรชิม่าในขณะนั้น บึงน้ำในสวนสร้างเลียนแบบทะเลสาบซีหู (Xihu Lake) ในเมืองหังโจว ประเทศจีน โดยมีสะพานหินอ่อนสีขาวกลางบึงเป็นจุดเด่น เสริมภูมิทัศน์ผสมผสานกับเรื
อนชงชาแบบญี่ปุ่นและสะพานโค้งสีแดง ทำให้สวนแห่งนี้มีความสวยงามไม่แพ้สวนอื่น ๆ ที่ได้ไปเห็นมา เพียงแต่อาณาบริเวณของสวนแห่งนี้ไม่ได้ใหญ่โตอะไรมากมายเท่านั้น
สวนชุกเคเอ็นแห่งนี้ เป็นอีกสถานที่หนึ่งซึ่งได้รับความเสียหายจากการถูกถล่มด้วยระเบิดปรมาณูเมื่อปีพ.ศ. 2488 สวนที่ห็นในปัจจุบันเป็นสวนที่ได้บการบูรณะใหม่ให้มีความสวยงามเข้ากับยุคสมัย

ในฤดูใบไม้ผลิ สวนแห่งนี้เป็นสถานที่ชมดอกซากุระ เช่นเดียวกับฤดูใบไม้ร่วง เป็นสถานที่ยอดนิยมในการชมใบไม้เปลี่ยนสีที่สำคัญของเมืองฮิโรชิม่า แต่ละปีมีนักท่องเที่ยวมาเยือนราว 3,000,000 คน
สวนทั้งมีการเชื่อมต่อโดยเส้นทางที่ลมรอบบ่อศูนย์กลางของสวนนั้น เส้นทางผ่านทุกฉากขนาดเล็กของ Shukkeien ของต่างๆ ต่อไปนี้เส้นทางรอบสวนนี้เป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะได้ Shukkeien

การเดินทาง ไปสวน Shukkeien นั่งรถรางสาย 1,2 หรือ 6 จากหน้าสถานี Hiroshimaแล้วเปลี่ยนเป็นสาย 9 ที่สถานี Hatchobori ลงที่สถานี Shukkeien-mae ใช้เวลาประมาณ 15 นาทีและราคา 150 ¥

เวลาเปิดให้เข้าชม เมษายน-กันยายน 09.00-18.00 น.ตุลาคม-มีนาคม 09.00-17.00 น. ปิดระหว่างวันที่ 29 ธันวาคม-3 มกราคม


ค่าเข้าชม ผู้ใหญ่ 250 เยน , นักเรียน นักศึกษา 180 เยน , เด็ก 120 เยน


วันนี้หมิวจะพาไปดูรอบๆของ Shukkeien น่ะค่ะ










วันพฤหัสบดีที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2553

วันนี้หมิวมีที่เที่ยวที่หนึ่งในญี่ปุ่นที่อยากจะมาแนะนำเพื่อนๆค่ะ

ก่อนที่จะไปถึงที่ญี่ปุ่น ทุกคน คงกำลังคิดน่าค่ะว่าจะไปเที่ยวที่ไหนดี หมิวขอแนะนำภูเขาไฟฟูจิ เลยค่ะ และแค่หมิวพูดชื่อภูเขานี้ทุกคนก้อต้องอ๋อ เพราะที่นี้เป็นภูเขาที่มีชื่อเสียงของญี่ปุ่นเลยน่าค่ะ



ภูเขาฟูจิ เป็นภูเขาที่สูงที่สุดในประเทศญี่ปุ่น ราว 3,776 เมตร (12,388 ฟุต) ตั้งอยู่บริเวณจังหวัดชิซึโอะกะ และจังหวัดยะมะนะชิ ซึ่งอยู่ทางตะวันตกของจังหวัดโตเกียว โดยในวันที่อากาศแจ่มใสสามารถมองเห็นจากโตเกียวได้ ในปัจจุบันภูเขาได้ถูกจัดโดยนักวิทยาศาสตร์อยู่ในลักษณะของภูเขาไฟที่มีโอกาสปะทุต่ำ โดยภูเขาไฟระเบิดครั้งล่าสุดในปี พ.ศ. 2250 (ค.ศ. 1707) ใน ยุคเอโดะ
ภูเขาฟูจิ มีชื่อในภาษาญี่ปุ่นว่า \"ฟุจิซัง" ซึ่งในหนังสือในสมัยก่อนจะถูกเข้าใจผิดเรียกว่า ฟุจิยะมะ (ฟูจิยาม่า) เนื่องจากตัวอักษรคันจิตัวที่ 3 (山) ที่สามารถอ่านได้สองแบบ ทั้ง ยะมะ และ ซัง

เชื่อว่ามีผู้ปีนเขาฟูจี ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 1206 โดยนักบวชท่านหนึ่ง และในช่วงระหว่างนั้นจนถึงยุคเมจิ ภูเขาฟูจิได้ชื่อว่าเป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์ซึ่งห้ามผู้หญิงขึ้นเขา โดยในปัจจุบันภูเขาฟูจิเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญแห่งหนึ่งของประเทศญี่ปุ่น ภูเขาฟูจิได้เป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของญี่ปุ่น ซึ่งจะเห็นได้จากในงานเขียนหรือภาพวาดต่างๆ โดยเฉพาะภาพวาดของ โฮะกุไซ ที่มีให้เห็นในวรรณกรรมญี่ปุ่นและกาพย์กลอนที่สำคัญมากมาย
ภูเขาฟูจิยังเป็นฐานทัพของซามูไรต่างๆมากมายจากยุคอดีต เป็นที่ฝึกฝน ซึ่งในปัจจุบัน ฐานทัพหนึ่งของกองทหารญี่ปุ่นตั้งอยู่บริเวณตีนเขาฟูจิ ภูเขาไฟฟูจิ ได้รับการยกย่องว่าเป็นภูเขาที่สวยขนาดไม่มีภูเขาลูกใดมาเทียบเคียงได้ และทะเลสาบอาชิ ในฮาโกเนะก็เป็นทะเลสาบที่คนนิยมมาบันทึกภาพเก็บไว้บ่อยครั้งที่สุด พื้นที่ส่วนใหญ่ของฟูจิและฮาโกเนะถูกกำหนดให้เป็น อุทยานแห่งชาติ ภูเขาไฟฟูจิ โผล่พ้นผิวมหาสมุทรเป็นรูปกรวยคว่ำได้สัดส่วนงามสง่า ภูเขาไฟฟูจิเป็นดินแดนต้องห้ามของผู้หญิงมาเป็นเวลาหลายร้อยปีแล้ว









โดยวันนี้หมิวจะมีภูเขาไฟฟูจิในฤดูใบไม้ร่วง มาให้ดูน่าค่ะ ว่าฤดูใบไม้ร่วงจะมีความแตกต่างกับฤดูอื่นๆยังไงเนอะ
ในปี2009 ฤดูใบไม้ร่วงสี ดูเหมือนจะน้อยลงในระดับของต่ำและละติจูดทางใต้ของประเทศญี่ปุ่นเกี่ยวกับสัปดาห์ก่อนหน้าในปีก่อนหน้า ต้นไม้ใน โตเกียว และ เกียวโต ได้เริ่มต้นแล้วสี แต่ฤดูกาลสูงสุดของที่นั่นจะไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์หรือสอง รอบโตเกียวสีนี้ดีที่สุดที่ความสูงประมาณ 1,000 เมตรและ ครั้งที่สองฤดูนี้ที่จ่ายให้เข้าชม ภูเขาไฟฟูจิ และ Fuji Five Lakes (Fujigoko)



เมื่อไปเยี่ยม พื้นที่ สองสัปดาห์ที่ผ่านมา ต้นไม้เชอร์รี่อยู่ในความงามสูงสุดฤดูใบไม้ร่วงมี แต่ความสดใสขึ้นด้วยต้นเมเปิ้ลมีเพียงเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลง วันนี้ขณะที่ต้นเชอร์รี่มาแล้วลดลงส่วนใหญ่ของใบ, ต้นเมเปิลมาถึงจุดสูงสุดของพวกเขาให้มองเห็นวิวทิวทัศน์ของสีส้มและสีแดงร่วมกับภูเขาไฟฟูจิและทะเลสาบ


จุดที่ดีที่สุดสำหรับการชมภูเขาไฟฟูจิร่วมกับต้นเมเปิ้ลที่พบตามชายฝั่งทางเหนือของ Lake Kawaguchiko มีถ่ายภาพอื่น ๆ อีกมากมายพยายามรวมทั้งสามองค์ประกอบใบ, ทะเลสาบและภูเขาเป็นภาพที่งดงาม Early เช้าเป็นเวลาที่ดีที่สุดสำหรับการเข้าชมเมื่อสภาพแสงและการมองเห็นแนวโน้มที่จะดีนัก ต่อมาในระหว่างวัน (ปกติหลังรอบ 9 10:00) เมฆมักจะสร้างรอบภูเขาสุดแม้ในวันที่มีอากาศยุติธรรม

อีกจุดที่ดีสำหรับมุมมองของภูเขาไฟฟูจิเป็น Chureito เจดีย์ในภูเขาทางภาคเหนือของ Fujiyoshida City, 15-20 นาทีจาก Shimo - Yoshida Station ยังมีชื่อเสียงเป็น ซากุระ จุดในช่วงกลางเดือนเมษายน, เจดีย์ล้อมรอบด้วยต้นเชอร์รี่ส่วนใหญ่ที่ต้องมีให้เห็นมากร่วมกับเจดีย์และ Mount Fuji สองสัปดาห์ที่ผ่านมา วันนี้ต้นเชอร์รี่เป็นหมันทั้งหมด แต่จำนวนเล็กน้อยของเมเปิลและต้นไม้ ginko ตามทางขึ้นไปเจดีย์ที่ไม่ให้สีบางแต่

คาดว่า Fuji Five Lake ภูมิภาคควรจะมีสีสันและมูลค่าฤดูใบไม้ร่วงใบไม้เยี่ยมสำหรับอย่างน้อยหนึ่งสัปดาห์ที่ ตอนเย็นงานไฟขึ้นต้นในที่จัดขึ้นจนถึง 23 พฤศจิกายน 2009 รอบชายฝั่งทางเหนือของ Lake Kawaguchiko



และวันนี้หมิวจะมาบอกเส้นทางในการไปภูเขาไฟฟูจิน่าค่ะ




โดยรถบัสจากสถานีชินจูกุ :
มีรถ 1-2 เที่ยวต่อชั่วโมงจาก Tokyo 's Shinjuku Station (Keio Bus Terminal ทางด้านตะวันตกของสถานี) เพื่อไปที่ Kawaguchiko Station in Fuji Five Lake Fuji Five Lake และเดินทางโดย Fujikyu และ Keio Bus การเดินทางทางเดียวใช้เวลาเพียงเล็กน้อยใช้เวลาเพียงสองชั่วโมงและค่าใช้จ่าย 1700 เยน
รถโดยสารส่วนใหญ่หยุดที่สถานี Fujiyoshida และ Fujikyu Highland ก่อนเดินทางมาถึง Kawaguchiko Station และมากของพวกเขาแล้วต่อไป Lake Yamanaka (2.5 ชั่วโมง 2000 เยนเดียวจาก Shinjuku)

โดยรถบัสจากสถานีโตเกียว :
เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงตรงจะมี รถที่ ต่อชั่วโมงจาก Tokyo Station (South Exit Yaesu) เพื่อไปที่ Kawaguchiko Station in Fuji Five Lake จะเดินทางโดยรถ Fujikyu และ JR Kanto Bus การเดินทางจะใช้เวลาน้อยกว่าสามชั่วโมงและค่าใช้จ่าย 1700 เยน รถประจำทางจะหยุดที่ Lake Yamanaka เส้นทาง (2.5 ชั่วโมง, 1700 เยน)

โดยรถไฟ :
เดินทางไปตาม JR Chuo Line จาก Tokyo 's Shinjuku station เพื่อไปที่ Otsuki Station (70 นาที, 2700 เยนหรือโดยรถไปโดยตรงใช้เวลา 100 นาที, 1280 เยนโดยรถไฟท้องถิ่นด้วยมักจะเข้าใช้ได้พร้อมกัน) แล้ว Fujikyu Railway Line จาก Otsuki เพื่อไป Kawaguchiko Station in Fuji Five Lake ภูมิภาค (50 นาที, 1110 เยน)

วันอาทิตย์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ก่อนที่จะไปเป็นไกด์ที่ญี่ปุ่นเราก็ต้องรู้จักประวัติศาสตร์ เศรษฐกิจ ฯลฯ แต่วันนี้หมิวจะบอกความเป็นมาของโตเกียวและประวัติศาสตร์น่าค่ะ

โตเกียว (Tokyo)
โตเกียว (「東京都」) หรือ กรุงโตเกียว เป็นเมืองหลวงของประเทศญี่ปุ่น มีระบบการปกครองแบบพิเศษซึ่งรวมการปกครองในรูปแบบจังหวัดและเมืองไว้ด้วยกัน และเป็นเขตเมืองที่ใหญ่ที่สุดในโลก (
โดยรวมเขตปริมณฑลแล้วมีประชากรอาศัยอยู่มากกว่า 35 ล้านคน 35,237,000 คน) โดยเฉพาะในตัวโตเกียวใน 23 เขตปกครองพิเศษในโตเกียว แล้วมีประชากรประมาณ 8 ล้านคน ซึ่งเป็นเมืองที่มีประชากรมากที่สุดในโลกเมืองหนึ่ง ในปี 2548 โตเกียวได้รับการจัดอันดับเมืองที่มีค่าครองชีพสูงที่สุดในโลก โดยในปี 2550 โตเกียวได้เป็นอันดับทีE4 รองจาก มอสโก ลอนดอน และ โซล ตามลำดับโตเกียวตั้งอยู่บริเวณภาคคันโตของญี่ปุ่น คำว่า "โตเกียว" หมายถึง "นครหลวงตะวันออก" ในพื้นที่โตเกียวยังเป็นที่ตั้งของพระราชวังอิมพีเรียล

ชื่อจังหวัด
โตเกียวเคยถูกเรียกว่าเอโดะ ซึ่งแปลว่าปากแม่น้ำ เมื่อกลายเป็นเมืองหลวงของญี่ปุ่นในปี 1868 ก็ถูกเปลี่ยนชื่อเป็นโตเกียว ซึ่งแปลว่าเมืองหลวงทางตะวันออก (โต (?:ตะวันออก) เกียว (?:เมืองหลวง)) ในตอนต้นยุคเมจิ โตเกียวบางครั้งถูกเรียกว่า โตเก ซึ่งเป็นวิธีอ่านอีกแบบของตัวคันจิในคำว่าโตเกียว แต่ปัจจุบันเลิกใช้แล้ว

ประวัติศาสตร์
ปราสาทเอะโดะ หรือพระราชวังอิมพีเรียลในปัจจุบันโตเกียวแต่เดิมเป็นหมู่บ้านประมงเล็ก ที่ชื่อเอะโดะ ในปีค.ศ. 1457 โอตะ โดกัง สร้างปราสาทเอโดะขึ้น ในปีค.ศ. 1590 โทกุงะวะ อิเอะยะสึตั้งเอะโดะเป็นฐานกำลังของเขาและเมื่อเขากลายเป็นโชกุนในปีค.ศ. 1603 เมืองเอะโดะก็กลาย เป็นศูนย์กลางของรัฐบาลทหารของเขาซึ่งมีอำนาจปกครองทั้งประเทศ ในช่วงเวลาต่อมาในยุคเอะโดะ เมืองเอะโดะก็ขยายตัวขึ้นจนกลายเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดเมืองหนึ่งในโลก โดยมีประชากรมากกว่าหนึ่งล้านคนในคริสตวรรษที่18และเป็นที่ยอมรับว่าเป็นเมืองหลวงของญี่ปุ่นแม้ว่าองค์จักรพรรดิทรงประทับอยู่ในเกียวโต

หลังจากนั้นประมาณ 263 ปี ระบอบปกครองภายใต้โชกุนถูกล้มล้างโดยการปฏิรูปเมจิ อำนาจการปกครองจึงกลับคืนมาสู่จักรพรรดิอีกครั้ง ในปี
1869 จักรพรรดิเมจิทรงย้ายเมืองหลวงมาที่เอะโดะและเปลี่ยนชื่อเมืองเป็นโตเกียว โตเกียวจึงกลายเป็นศูนย์กลางทางการปกครองและวัฒนธรรมของประเทศ และการที่จักรพรรดิทรงย้ายมาประทับจึงทำให้โตเกียวกลายเป็นเมืองหลวงอย่างเต็มตัว ปราสาทเอะโดะถูกเปลี่ยนเป็นพระราชวัง

ในยุคเมจิ โตเกียวมีการพัฒนาโดยได้รับอิทธิพลจากตะวันตก เช่นการเปิดบริการโทรเลขระหว่างโตเกียวกับโยะโกะฮะมะในปี 1869 และการเปิดบริการรถไฟสายแรกระหว่างชิมบะชิและโยะโกะฮะมะในปี 1872

จรรยาบรรณ เป็นสิ่งที่ไม่ว่าจะอาชีพไหนก็ต้องมีจรรยาบรรณทั้งนั้น ถ้างั้นเรามาดูจรรยาบรรณและข้อสังเกตเมื่อนักท่องเที่ยว

จรรยาบรรณของมัคคุเทศก์

1. จักต้องไม่อธิบายหรือบอกกล่าวเรื่องราวแก่นักท่องเที่ยว อันจะนำมาซึ่งความไม่ถูกต้องเสื่อมเสียแก่ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ รวมทั้งภาพพจน์ของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย


2. จักต้องรับผิดชอบงานในหน้าที่ของมัคคุเทศก์ ซึ่งจะต้องคำนึงถึงประโยชน์ของนักท่องเที่ยวตามข้อตกลงเกี่ยวกับรายการนำเที่ยวเป็นสำคัญ


3. จักต้องปฏิบัติหน้าที่โดยซื่อสัตย์สุจริต ไม่แสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบ หรือไม่กระทำการอันใดเพื่อให้นักท่องเที่ยวอยู่ในสภาพที่ต้องปฏิบัติตามโดยไม่สมัครใจ


4. จักต้องไม่ปฏิบัติตนฝ่าฝืนศีลธรรม


5. จักต้องไม่ปฏิบัติตนขัดต่อขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงามของท้องถิ่นและกฎระเบียบของสถานที่ท่องเที่ยวแต่ละแห่ง



ข้อสังเกตเมื่อนักท่องเที่ยวใช้บริการมัคคุเทศก์


1. มัคคุเทศก์ต้องมีใบอนุญาตและติดตัวไว้ตลอดเวลา


2. มัคคุเทศก์ที่ผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวว่าจ้างมาให้บริการต้องนำเที่ยวตรงตามประเภทใบอนุญาตของมัคคุเทศก์


3. จดชื่อ เลขทะเบียนใบอนุญาตไว้ด้วย เพื่อประโยชน์แก่การตรวจสอบภายหลัง


4. มัคคุเทศก์ต้องมีความรู้ ความสามารถ มีมารยาทและบุคลิกภาพที่ดี มีความประพฤติเหมาะสมสอดคล้องกับจรรยาบรรณของมัคคุเทศก์
กรณีที่ผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวใช้มัคคุเทศก์ที่ไม่มีใบอนุญาตหรือใช้มัคคุเทศก์ต่างด้าว หรือพบเห็นผู้ประกอบอาชีพมัคคุเทศก์โดยไม่มีใบอนุญาต กรุณาแจ้งสำนักงานทะเบียนฯ ททท.ทุกแห่ง หรือ กองบังคับการตำรวจท่องเที่ยว โทรศัพท์ 1155


หากท่านประสงค์จะตรวจสอบข้อมูลของผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ ก่อนเลือกใช้บริการ สามารถติดต่อได้ที่ สำนักงานทะเบียนธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์กรุงเทพมหานคร การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เลขที่ 1600 ถ.เพชรบุรีตัดใหม่ แขวงมักกะสัน เขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร 10400 โทร. 0-2250-5500 ต่อ 2405, 2406 โทรสาร. 0-2253-7464 อีเมล์: tbgdep@tat.or.th หรือ สำนักงานทะเบียนฯ ที่ใกล้บ้านท่าน

ท่านเป็นผู้หนึ่งที่จะสามารถช่วยตรวจสอบ และช่วยกันส่งเสริมผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ของประเทศไทยให้ได้มาตรฐานและคุณภาพสมเป็นเมืองท่องเที่ยวขอให้ท่านเดินทางท่องเที่ยวอย่างมีความสุข เดินทางไปและกลับโดยสวัสดิภาพ

โดยทั่วไปก่อนเราจะเป็นไกด์ มักจะมีข้อห้ามต่างๆที่พระราชบัญญัติกำหนดไว้ เราไปดูกันดีกว่าค่ะว่าห้ามอะไรบ้างและมีหน้าที่อะไรบ้างของไกด์

พระราชบัญญัติฉบับนี้โดยทั่วไป จะให้ความสำคัญแก่ผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวและประกอบอาชีพมัคคุเทศก์ เป็นอาชีพสงวนสำหรับคนไทยเท่านั้น และป้องกันผู้ประกอบการนำเที่ยวที่ไม่มีคุณภาพและมาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด จึงกำหนดชัดเจนว่า



1.ห้ามจัดนำเที่ยวโดยไม่มีใบอนุญาต หรือประกอบการในระหว่างถูกพักใช้ใบอนุญาต



2.ห้ามทำหน้าที่มัคคุเทศก์โดยไม่มีใบอนุญาต หรือปฏิบัติงานระหว่างถูกพักใช้ใบอนุญาต


3.จะต้องไม่ปฏิบัติผิดกฎเกณฑ์อื่น ๆ ที่วางไว้ เช่นจ้างมัคคุเทศก์ไม่ตรงประเภท, เป็นมัคคุเทศก์แต่ไม่ติดบัตรขณะปฏิบัติหน้าที่, แต่งกายไม่สุภาพประพฤติผิดจรรยาบรรณ อื่น ๆ



4.ใบอนุญาตของผู้ประกอบการนำเที่ยวต้องแสดงไว้ในที่เปิดเผย ให้บุคคลทั่วไปเห็นได้ชัด




หน้าที่ของมัคคุเทศก์



1. มัคคุเทศก์ต้องไม่กระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดอันจะนำมาซึ่งความเสื่อมเสียชื่อเสียงเกียรติยศ และจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพ



2. มัคคุเทศก์ต้องแต่งกายสุภาพและเหมาะสมกับสถานที่



3. มัคคุเทศก์ต้องติดเครื่องหมายแสดงการเป็นมัคคุเทศก์ ซึ่งได้รับใบอนุญาตและติดใบอนุญาตเป็นมัคคุเทศก์ไว้ที่อกเสื้อ เว้นแต่จะอยู่ในสภาพที่ไม่อาจจะปฏิบัติเช่นนั้นได้



4. มัคคุเทศก์ต้องไม่บรรยาย อธิบาย หรือบอกกล่าวเรื่องราวที่ไม่ถูกต้องแก่นักท่องเที่ยวอันจะนำมาซึ่งความเสื่อมเสียแก่ประเทศชาติ และอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของไทย



5. มัคคุเทศก์ต้องไม่กระทำการใด นอกเหนือความตกลงที่มีอยู่กับผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวหรือนักท่องเที่ยว ในกรณีที่มัคคุเทศก์ได้กระทำการใดตามความประสงค์ของนักท่องเที่ยว และการนั้นอยู่นอกเหนือจากที่ตกลงไว้กับผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยว มัคคุเทศก์ต้องแจ้งให้ผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวทราบภายในเวลาอันควร

ประเภทบัตรของมัคคุเทศก์

มัคคุเทศก์ หมายความว่า ผู้ที่นำนักท่องเที่ยวไปยังสถานที่ต่าง ๆ และให้ความรู้แก่นักท่องเที่ยวเกี่ยวกับสถานที่หรือบุคคลโดยได้รับค่าตอบแทน
มัคคุเทศก์แบ่งเป็น 2 ประเภทคือ
มัคคุเทศก์ทั่วไป มี 2 ชนิด คือ



1. มัคคุเทศก์ทั่วไป ( ต่างประเทศ ) บัตรสีบรอนซ์เงิน นำเที่ยวให้แก่นักท่องเที่ยวชาวไทยหรือชาวต่างประเทศ สามารถนำเที่ยวได้ทั่วราชอาณาจักร


2. มัคคุเทศก์ทั่วไป ( ไทย ) บัตรสีบรอนซ์ทอง นำเที่ยวได้เฉพาะนักท่องเที่ยวชาวไทย สามารถนำเที่ยวได้ทั่วราชอาณาจักร

มัคคุเทศก์เฉพาะ มี 8 ชนิด คือ



1. มัคคุเทศก์เฉพาะ (ต่างประเทศ เฉพาะพื้นที่) บัตรสีชมพู นำเที่ยวให้แก่นักท่องเที่ยวชาวไทยหรือชาวต่างประเทศเฉพาะจังหวัดที่ระบุไว้บนบัตรและจังหวัดที่มีพื้นที่ติดต่อ


2. มัคคุเทศก์เฉพาะ (ไทย เฉพาะพื้นที่) บัตรสีฟ้า นำเที่ยวเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวไทย เฉพาะจังหวัดที่ระบุไว้บนบัตรและจังหวัดที่มีพื้นที่ติดต่อ


3. มัคคุเทศก์เฉพาะ (เดินป่า) บัตรสีเขียว นำเที่ยวให้แก่นักท่องเที่ยวชาวไทยหรือชาวต่างประเทศในเขตพื้นที่ป่า


4. มัคคุเทศก์เฉพาะ (ศิลปวัฒนธรรม) บัตรสีแดง นำเที่ยวให้แก่นักท่องเที่ยวชาวไทยหรือชาวต่างประเทศในด้านประวัติศาสตร์โบราณคดี ศิลปวัฒนธรรม วรรณคดีไทยได้ทั่วราชอาณาจักร


5. มัคคุเทศก์เฉพาะ (ทางทะเล) บัตรสีส้ม นำเที่ยวให้แก่นักท่องเที่ยวชาวไทยหรือชาวต่างประเทศในเขตพื้นที่ทางทะเล


6. มัคคุเทศก์เฉพาะ (ทะเลชายฝั่ง) บัตรสีเหลือง นำเที่ยวให้แก่นักท่องเที่ยวชาวไทยหรือชาวต่างประเทศในเขตพื้นที่ทางทะเลหรือเกาะต่างๆ โดยมีระยะห่างจากชายฝั่งถึงสถานที่ท่องเที่ยวได้ไม่เกิน 40 ไมล์ทะเล


7. มัคคุเทศก์เฉพาะ (แหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติ) บัตรสีม่วง นำเที่ยวให้แก่นักท่องเที่ยวชาวไทยหรือชาวต่างประเทศ เฉพาะภายในแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติที่ระบุชื่อไว้บนบัตร


8. มัคคุเทศก์เฉพาะ (วัฒนธรรมท้องถิ่น) บัตรสีน้ำตาล นำเที่ยวให้แก่นักท่องเที่ยวชาวไทย หรือชาวต่างประเทศทางด้านวัฒนธรรมท้องถิ่นเกี่ยวกับศิลปวัฒนธรรม ประเพณี ประวัติศาสตร์ภูมิศาสตร์ โบราณคดี เฉพาะภายในแหล่งท่องเที่ยววัฒนธรรมท้องถิ่นระบุชื่อไว้ในบัตรเท่านั้น

การเป็นมัคคุเทศก์ จะต้องผ่านการอบรมตามหลักสูตรที่ทางราชการกำหนด ซึ่งหลักสูตรแต่ละประเภทของบัตรมัคคุเทศก์จะกำหนดวุฒิการศึกษาไว้ต่าง ๆ กัน แต่คุณสมบัติสำคัญคือ ต้องเป็นคนสัญชาติไทย และ อายุตั้งแต่ 20 ปี ขึ้นไป พูด – อ่าน และเขียนภาษาไทยได้เป็นอย่างดี

โอกาสในการมีงานทำและโอกาสในความก้าวหน้าในอาชีพไกด์



โอกาสในการมีงานทำ
ตั้งแต่ปี 2539 เป็นต้นมา อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย ทำเงินรายได้ให้ประเทศมากที่สุด และในปี2543 จะนำเงินเข้าประเทศได้ประมาณ 3 แสนล้านบาท โดยได้เปิดตลาดเพื่อส่งเสริมการขาย และการท่องเที่ยวของประเทศไทยในต่างประเทศของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และผู้ประกอบการธุรกิจ การท่องเที่ยว ส่วนในประเทศได้เน้นการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว และศักยภาพในทุกด้านของทุกจังหวัด เพื่อส่งเสริม และรองรับคนไทยให้เที่ยวในประเทศไทยมากขึ้น โดยเน้นทั้ง ประวัติศาสตร์ โบราณสถาน วัฒนธรรม ประเพณีของทุกจังหวัด และทัวร์สิ่งแวดล้อม หรืออีโคทัวริสซึ่ม

แนวโน้มของคนในยุคปัจจุบันเมื่ออยู่ในสังคมใหม่จะแสวงหาวันหยุดที่ใกล้ชิดธรรมชาติ และความเงียบสงบ นักท่องเที่ยวต่างประเทศปัจจุบันจะเลือกเที่ยวในประเทศที่มีการจัดการและรักษา สิ่งแวดล้อม และสภาพทางนิเวศวิทยาที่ดีเท่านั้น อาจจะจัดเป็นทัวร์สุขภาพธรรมชาติบำบัด หรือรูปแบบการอบรมสัมมนาเนื้อหาทางพุทธศาสนา และทำสมาธิ การได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับชาวบ้านเพื่อเรียนรู้ ภูมิปัญญา และวัฒนธรรมท้องถิ่นของชาวบ้านเป็นต้น ซึ่งประเทศไทยมีศักยภาพที่จะจัดเป็นเส้นทางสำหรับนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ได้ ดังนั้น บุคคลผู้สนใจประกอบอาชีพนี้สามารถเปิดการให้บริการ โดยสามารถจัดเป็นธุรกิจการท่องเที่ยวแบบเฉพาะกลุ่มของตนเองขึ้นบนเว็บไซต์ออนไลน์เสนอให้ผู้สนใจทั่วโลกเลือกพิจารณารูปแบบการท่องเที่ยวได้
อนึ่ง องค์การท่องเที่ยวโลกได้มีการสนับสนุนกำหนดให้ วันที่ 27 กันยายนของทุกปี เป็นวันท่องเที่ยวโลก โดยมีวัตถุประสงค์ให้ประชาคมโลกตระหนักถึงความสำคัญของการท่องเที่ยวที่มี ต่อวัฒนธรรม การเมือง และเศรษฐกิจของประเทศและโลกโดยรวม การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยก็ได้สนับสนุนอุตสาหกรรมนี้เพราะเล็งเห็นถึงความมีศักยภาพในการเป็นประตูไปสู่การท่องเที่ยว อินโดจีน หรือภูมิภาค เข้าสู่ จีน พม่า ลาว เขมร และเวียดนาม ซึ่งนับว่าอาชีพมัคคุเทศก์เป็นอาชีพสำคัญส่วนหนึ่งในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่จะมีส่วนในการพัฒนาอุตสาหกรรมนี้ให้ได้มาตรฐานแล้วเป็น ผู้ส่งเสริมการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอีกด้วย เนื่องจากผู้บริโภคหรือนักท่องเที่ยวสนใจที่จะเลือกบริโภค ในประเทศที่อนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเท่านั้นโอกาสการมีงานทำเป็นมัคคุเทศก์จึงค่อนข้างมีมากและมีโอกาสความ ก้าวหน้าในอาชีพ แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความรอบรู้ ความสามารถ และจรรยาบรรณในวิชาชีพของมัคคุเทศก์

แม้ว่ารัฐบาลจะมีนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างไรก็ตาม แต่ถ้าขาดมัคคุเทศก์ที่มีคุณภาพ ก็ไม่สามารถทำให้นโยบายดังกล่าวสัมฤทธิ์ผลได้ จึงได้มีการส่งเสริม และพัฒนาอาชีพนี้ โดย ในปี 2543 การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยได้จัดให้มีรางวัลพิเศษขึ้น คือ "มัคคุเทศก์ไทยดีเด่น” ในงานไทยแลนด์ทัวริสซึ่มอวอร์ด 2000 อันถือว่าเป็นงานยอดเยี่ยมของอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ที่กระตุ้นให้ผู้ประกอบธุรกิจ และผู้เกี่ยวข้องให้ความร่วมมือในการอนุรักษ์ และพัฒนาทรัพยากรการ ท่องเที่ยว ทั้งทางวัฒนธรรมและธรรมชาติ ตลอดจนจัดการบริการให้มีมาตรฐาน


โอกาสความก้าวหน้าในอาชีพ
ความก้าวหน้าในอาชีพนี้ไม่ได้วัดกันที่ตำแหน่ง แต่สามารถวัดได้จากความสามารถทางด้านภาษา ความอดทน ความเป็นมืออาชีพ ดังนั้น ผู้ที่สนใจต้องการประกอบอาชีพนี้สามารถติดต่อได้ที่บริษัท จัดท่องเที่ยว เมื่อมีประสบการณ์ และสร้างเครือข่ายข้อมูลทางด้านการท่องเที่ยวได้มาก และสร้างพันธมิตรทางธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องก็สามารถเปิดบริษัทเองได้ถ้าอยู่ในต่างจังหวัดสามารถ เปิดสำนักงานของตนเองได้แต่จะต้องสำรวจพื้นที่ที่ตนอยู่ และจังหวัดใกล้เคียงว่ามีแหล่งทรัพยากร การท่องเที่ยวที่น่าสนใจ และจัดเป็นรูปแบบการเดินทางได้หรือไม่ จากนั้นก็จัดทำโฮมเพจ เสนอบริการ ขึ้นเว็บไซต์ตรงสู่ผู้สนใจ โดยปรึกษากับบริษัทที่ปรึกษาการทำพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ได้ โดยใช้บ้านเป็นสำนักงาน

คุณสมบัติของผู้ประกอบอาชีพไกด์






ผู้ประกอบอาชีพนี้ ต้องมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้




1. พูดภาษาต่างประเทศได้อย่างน้อย คือ ภาษาอังกฤษ




2. มีความรู้ทั่วไป และเป็นผู้ที่ขวนขวายหาความรู้สม่ำเสมอ




3. รักการเดินทางท่องเที่ยว และงานบริการ ปรับตัวได้ และเป็นนักแก้ไขปัญหาได้ดีใน ทุกสถานการณ์




4. มีความยืดหยุ่น ประนีประนอม และมีลักษณะอบอุ่นโอบอ้อมอารีเป็นที่ไว้วางใจของ ผู้เดินทางร่วมไปด้วย




5. มีความเป็นผู้นำ มีความกล้า มีความรอบคอบและไม่ประมาท




6. มีทัศนะคติดี ร่าเริง มีความเสียสละซื่อสัตย์ ซื่อตรง และอดทน




7. สุขภาพร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ มีไหวพริบและปฏิภาณดี




8. มีความคิดสร้างสรรค์ มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี




9. เป็นนักสื่อสารที่ดี รักการอธิบาย และการบรรยายความรู้ต่าง ๆ






10. เป็นนักจัดเก็บข้อมูลที่ดี ทั้งข้อมูลการ ท่องเที่ยว ความนิยมของลูกค้า และรายชื่อลูกค้าที่เป็นนักท่องเที่ยว






ผู้ที่จะประกอบอาชีพนี้ ควรเตรียมความพร้อมดังต่อไปนี้ : มัคคุเทศก์ท้องถิ่น เป็นผู้ที่มีวุฒิการศึกษาตั้งแต่ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ขึ้นไป หรือเทียบเท่า และได้รับการอบรม เพิ่มเติม เพื่อรับวุฒิบัตรพัฒนาฝีมือแรงงาน (วพร.) เป็นเวลา 320 ชั่วโมง หรือ 40 วัน มัคคุเทศก์ภายในประเทศ และมัคคุเทศก์นำเที่ยวชาวต่างประเทศ เป็นผู้มีพื้นฐานการศึกษาระดับมัธยมศึกษาปีที่ 6 ขึ้นไปต้องเข้ารับการอบรม และมีใบอนุญาตเป็นมัคคุเทศก์จากสถาบันที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยให้การรับรอง หรือ มหาวิทยาลัยที่เปิดสอนคณะ หรือสาขาวิชาธุรกิจ การท่องเที่ยว

ก่อนที่จะเป็นไกด์เราก็ต้องรู้ถึงสภาพการจ้างงาน และการทำงานก่อนนะค่ะ

สภาพการจ้างงาน
ผู้ประกอบอาชีพมัคคุเทศก์ได้รับค่าตอบแทนการทำงานเป็นเงินเดือนประจำ หรือ ค่าจ้างเป็นเที่ยวในการพานักท่องเที่ยวออกไปท่องเที่ยว ซึ่งจะคิดค่าจ้างเป็นรายวันเฉลี่ยประมาณวันละ 1,500-3,000 บาท และอาจจะได้รับค่าตอบแทนถึง 100,000 บาทเป็นค่านายหน้าจากบริษัท หรือร้านที่นักทัศนาจรมา ซื้อของที่ระลึก หรือเข้าชมการแสดงในสถานที่ท่องเที่ยว ตามที่แต่ละแห่งได้ตั้งค่านายหน้าไว้


ผู้ทำงานมัคคุเทศก์มีกำหนดเวลาทำงานที่ไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับโครงการ และแผนการนำเที่ยว ซึ่งกำหนดไว้ในแต่ละรายการ ผู้ปฏิบัติงานนี้จะต้องผ่านการอบรมวิชาชีพมัคคุเทศก์ และมีความรู้ภาษาต่างประเทศซึ่งสามารถใช้งานได้ดี


สภาพการทำงาน
มัคคุเทศก์ จะทำงานตามช่วงระยะเวลาที่กำหนดไว้ในแผนการนำเที่ยวมีระยะเ
วลาตั้งแต่ 1 วัน ถึงสามหรือสี่สัปดาห์ และในขณะพานักท่องเที่ยวทัศนาจรต้องดูแลนักท่องเที่ยวตลอด 24 ชั่วโมง นำนักทัศนาจร หรือนักท่องเที่ยว ตั้งแต่คนเดียวจนถึงเป็นกลุ่ม หรือกลุ่มใหญ่ไปชมสถานที่ต่างๆ ทั้งในเมืองและต่างจังหวัดตามที่กำหนดไว้ในแผนการนำเที่ยว การเดินทางอาจจะมีทั้งระยะใกล้ ไกล อาจใช้ยานพาหนะทุกประเภท อาจต้องนำเที่ยวในลักษณะผจญภัย อย่างเช่น ทัวร์ป่า การเดินขึ้นเขา การล่องแพ การค้างแรมร่วมกับกลุ่มชนชาวพื้นเมือง ขึ้นอยู่กับแผนการนำเที่ยว และรูปแบบของการท่องเที่ยว


มัคคุเทศก์จะต้องวางแผนติดต่อประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การบริการ การอำนวยความสะดวก และการดูแลรักษาความปลอดภัยให้แก่นักท่องเที่ยวตลอดเส้นทาง รวมไปถึงการให้ข้อมูลที่จำเป็น และให้คำแนะนำแก่นักท่องเที่ยวในการเตรียมตัวให้พร้อมก่อนออกเดินทางทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับประเภทของการท่องเที่ยว ตลอดจนตอบข้อซักถาม ให้คำแนะนำในระหว่างการเดินทางรวมทั้งต้องทำ กิจกรรมเพื่อให้นักท่องเที่ยวที่ร่วมเดินทางทุกคนได้รับความสนุกสนาน ประทับใจ ในบางครั้งอาจจะต้องจัด กิจกรรม หรือให้บริการที่สร้างความพอใจให้กับนักท่องเที่ยวตามจุดประสงค์ที่นักท่องเที่ยวต้องการภายในระยะเวลาที่กำหนด และพร้อมที่จะแก้ปัญหาที่อาจเกิดขึ้นกับนักท่องเที่ยวได้ ตลอด 24 ชั่วโมง


บางครั้งมัคคุเทศก์จะต้องทำงานหนักติดต่อกันเป็นเวลาหลายวันต้องใช้ความอดทน และอดกลั้นสูง ดังนั้น ความพร้อม และความสมบูรณ์ทั้งทางร่างกาย และจิตใจจึงมีความสำคัญมาก เพราะนักท่องเที่ยว มีอัธยาศัย และพื้นฐานความเป็นอยู่ และวัฒนธรรมที่แตกต่างกันไป เมื่อมารวมกลุ่มกันจึงจำเป็นที่จะต้องสร้างบรรยากาศให้สามารถอยู่ร่วมกันได้ด้วยดี อีกทั้งได้รับความสุข ความปลอดภัยในชีวิต และทรัพย์สินด้วย มัคคุเทศก์จึงเปรียบเสมือนตัวแทนของท้องถิ่น และประเทศนั้น ๆ

วันนี้หมิวจะมาบอกความเป็นมาของคำว่าไกด์และมัคคุเทศก์ นิยามของไกด์ และลักษณะของการที่ทำน่าค่ะ

คำว่าไกด์นั้นเป็นการเรียกทับคำศัพท์ในภาษาอังกฤษ แต่ถ้าเป็นคำไทยจริง ๆ ก็คือ มัคคุเทศก์ นั่นเอง และคำว่า "มัคคุเทศก์" นี้ ก็เป็นการผสมคำ คือเป็นสมาสของคำว่า "มรรค" หรือ "มคค" (ทาง) กับคำว่า "อุทเทสก" (ผู้ชี้แจง) โดยสรุปได้เป็นคำจำกัดความว่า มัคคุเทศก์ คือผู้คอยบรรยายชี้แจงเกี่ยวกับการเดินทางนั่นเอง อีกประการหนึ่ง มัคคุเทศก์คืออาชีพ ๆ หนึ่งซึ่งเป็นอาชีพสุจริต ในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว

ชื่ออาชีพ ของไกด์ หรือมัคคุเทศก์สามารถพิมพ์ได้หลายแบบดังนี้ค่ะ
มัคคุเทศก์ Guides, Sightseeing Guides Travel Guides

นิยามอาชีพ
ผู้ปฏิบัติงานอาชีพนี้ทำหน้าที่ในการนำนักท่องเที่ยว หรือนักเดินทาง เดินทางท่องเที่ยว ทัศนาจรตามสถานที่ต่างๆ ตามแผนการทัศนาจร หรือตามโครงการนำเที่ยวของบริษัทจัดการนำเที่ยว หรือตามความต้องการของนักท่องเที่ยวหรือนักเดินทาง ในการให้ความรู้แก่นักท่องเที่ยวด้วยการอธิบาย และบรรยายถึงสภาพ และสถานที่เที่ยวที่สำคัญด้านภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และเกร็ดความรู้ที่น่าสนใจ

ลักษณะของงานที่ทำ
ปฏิบัติงานอาชีพนี้ จะต้องศึกษา ค้นคว้า หาข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่นำเที่ยว รวมทั้งความรู้ด้าน ประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ จารีตประเพณี วัฒนธรรม วางแผนกำหนดเส้นทาง จัดกำหนดการนำเที่ยว ให้เหมาะสมกับฤดูกาล และระยะเวลา ติดต่อสถานที่พักแรม หรือเตรียมอุปกรณ์เพื่อการพักแรมในสถานที่ ที่จะนำเที่ยว
นำนักท่องเที่ยวชมสถานที่ และบรรยายให้นักท่องเที่ยวได้ทราบความเป็นมาของสถานที่ และท้องถิ่น แหล่งธรรมชาติที่น่าชม และน่าสนใจ ภูมิประเทศ ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม จารีตประเพณี ความเป็นอยู่ของประชาชน
จัดการพักแรม และดูแลให้ความสะดวกสบาย ความปลอดภัยแก่นักท่องเที่ยวในระหว่างการนำเที่ยว โดยพยายามจัดการให้บริการที่ต้องสร้างความพอใจ และประทับใจให้กับนักท่องเที่ยวทุกคนอย่างทั่วถึงและต้องมีจรรยาบรรณทางวิชาชีพ
อาชีพมัคคุเทศก์ จัดแบ่งออกเป็นกลุ่มตามกลุ่มของนักท่องเที่ยว คือ มัคคุเทศก์พาเที่ยวภายในประเทศ (Domestic) มัคคุเทศก์ท้องถิ่น และมัคคุเทศก์นำเที่ยวชาวต่างประเทศ (Inbound) นอกจากนี้ ยังแบ่งกลุ่มมัคคุเทศก์ตามลักษณะของการท่องเที่ยว เช่น มัคคุเทศก์เดินป่า มัคคุเทศก์ทางทะเล มัคคุเทศก์ศิลปวัฒนธรรม เป็นต้น

วันเสาร์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ก่อนไปญี่ปุ่นเราต้องมีวีซ่าใช่ไม่ค่ะ ถ้าอย่างนั้นเรามาดูขั้นตอนการยื่นขอหนังสือเดินทางกันเลยค่ะ




ระเบียบการยื่นขอวีซ่า
ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2548 เป็นต้นไป ผู้ที่ถือหนังสือเดินทางทูตและราชการ ที่มีความประสงค์จะเดินทางไปเพื่องานราชการ และพำนักระยะสั้นภายใน 90 วัน ไม่ต้องยื่นขอวีซ่า
ประกาศการเปลี่ยนแปลงเวลารับคำร้องขอวีซ่า
เวลาในการรับคำร้องขอวีซ่าญี่ปุ่น เพื่อการพำนักระยะสั้น วีซ่าทรานซิท 8.30 – 11.15 น. /
วีซ่าประเภทอื่นๆ 13.30 – 16.00 น.
อนึ่ง การให้บริการของฝ่ายหนังสือเดินทาง ใบสำคัญถิ่นที่อยู่ ทะเบียนครอบครัว และการออกใบรับรองต่างๆของคนญี่ปุ่น ตลอดจนงานฝ่ายการเลือกตั้งในต่างประเทศ และฝ่ายคุ้มครองคนญี่ปุ่นนั้น ยังคงเปิดให้บริการตามเวลาปกติ

อัตราค่าธรรมเนียม การขอวีซ่าญี่ปุ่น [ใหม่]
ค่าธรรมเนียมวีซ่าญี่ปุ่น(ใหม่) สำหรับคนไทย ประกาศใช้เมื่อ วันที่ 1 เมษายน 2553 มีรายละเอียด ดังต่อไปนี้
วีซ่าทั่วไป : 1,080 บาท
วีซ่า Multiple : 2,160 บาท
(สำหรับการเดินทางหลายครั้ง)
วีซ่าทรานซิท : 260 บาท
(สำหรับการเดินทางผ่าน)

สถานที่ตั้งสถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย
ที่อยู่สถานทูตญี่ปุ่น
สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย
177 ถนนวิทยุ ลุมพินี ปทุมวัน
กรุงเทพฯ 10330
» โทร: 0-2696-3000, 0-2207-8500
» ใกล้กับ MRT สถานีลุมพินี เดินเท้า1 ป้ายรถเมล์

แบบสอบถามเพื่อขอวีซ่าญี่ปุ่น
ตั้งแต่วันที่ ๑ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๑ ทางสถานทูตญี่ปุ่นใคร่ขอแจ้งให้ทราบว่า “แบบสอบถามเพื่อการยื่นขอวีซ่าญี่ปุ่น” มีผลบังคับใช้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ดังนั้นท่าน ที่ประสงค์จะยื่นคำร้องขอวีซ่า จะต้องแนบเอกสารดังกล่าวมาประกอบการยื่นด้วย หากท่านไม่สามารถเตรียม “แบบสอบถามเพื่อการยื่นขอวีซ่าญี่ปุ่น" ได้ ทางสถานทูตฯจะปฏิเสธการยื่นคำร้องขอ จึงเรียนมาเพื่อทราบและขอความร่วมมือทุกท่านมา ณ ที่นี้
เอกสารที่ใช้ในการยื่นขอว่าญี่ปุ่น

เพื่อการท่องเที่ยว(วีซ่าประเภทการพำนักระยะสั้น)
1. หนังสือเดินทางที่ไม่มีตราประทับมากกว่า 2 หน้าขึ้นไป หากมีหนังสือเดินทางเล่มเก่า กรุณานำมาแสดงด้วย
2. ใบคำร้องขอวีซ่า 1 ใบ
3. รูปถ่าย (ขนาด 2 x 2 นิ้ว สี/ขาวดำ พื้นหลังสีอ่อน ไม่มีลวดลาย ไม่มีการแต่งภาพถ่าย จะต้องเป็นรูปถ่ายที่ชัดเจน ถ่ายมาไม่เกิน 6 เดือน) 1 ใบ
4. แบบสอบถามเพื่อการยื่นขอวีซ่า
5. ทะเบียนบ้าน ฉบับจริงและสำเนา 1 ชุด
6. หนังสือรับรอง ดังนี้

ในกรณีที่ผู้ยื่นเป็นพนักงานหรือข้าราชการ
ให้แสดงหนังสือรับรองการทำงานจากหน่วยงานที่สังกัด
(ให้ระบุตำแหน่ง, วันเริ่มทำงาน, อัตราเงินเดือน และระยะเวลาวันลาพักร้อน)

ในกรณีที่ประกอบอาชีพธุรกิจ
ให้แสดงหนังสือรับรองจดทะเบียนบริษัทหรือทะเบียนการค้าจากกระทรวงพาณิชย์

ในกรณีที่นักเรียนนักศึกษาที่มีอายุตั้งแต่ง 16 ปี ขึ้นไป
ให้แสดงหนังสือรับรองสถานภาพการเป็นนักเรียนนักศึกษา และหนังสือรับรองกาทำงาน หรือหนังสือรับรองจดทะเบียนบริษัทหรือทะเบียนการ ค้าของผู้อุปการะทำงาน

ในกรณีผู้อยู่ภายใต้อุปการะเลี้ยงดู
เช่น แม่บ้านที่ไม่ได้ทำงาน ให้แสดงหนังสือรับรองการทำงาน หรือหนังสือรับรองจดทะเบียนบริษัทหรือทะเบียน การค้าของผู้อุปการะ
(เอกสารทุกอย่างจะต้องออกไม่เกิน 3 เดือน, ในกรณีที่ผู้ยื่นไม่มีอาชีพ หรือประกอบอาชีพที่ไม่สามารถแสดงหนังสือรับรองการทำงาน หรือหนังสือรับรองจด ทะเบียนบริษัท หรือทะเบียนการค้าได้กรุณาทำหนังสืออธิบายอาชีพและรายได้ โดยละเอียด) ฉบับจริง 1 ชุด
7. ผู้ที่เดินทางเป็นครั้งแรก หากเคยเปลี่ยนชื่อตัว-สกุล หรือผู้ที่ได้เปลี่ยนชื่อตัวหรือสกุลหลังจากเดินทางไปญี่ปุ่นครั้งที่แล้ว ให้เตรียมเอกสารแสดงการเปลี่ยนชื่อตัว-สกุล เช่น ใบเปลี่ยนชื่อตัว-สกุล, ใบสำคัญการสมรส, ใบสำคัญการหย่า ฉบับจริงและสำเนา 1 ชุด
8. สมุดบัญชีเงินฝากธนาคาร (ของผู้ยื่นคำร้องหรือของผู้อุปการะ) ฉบับจริงและสำเนา (ทุกหน้า) 1 ชุด (ใช้สำหรับยื่นในกรณีที่ผู้ยื่นเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการเดินทางด้วย ตัวเอง ยกเว้นสำหรับผู้ยื่นที่เป็นข้าราชการหรือพนักงานบริษัทที่จดทะเบียนในตลาด หลักทรัพย์ หรือพนักงานรัฐวิสาหกิจหรือมหาวิทยาลัย เป็นต้น ซึ่งมีอัตราเงินเดือนตั้งแต่ 2 หมื่นบาทขึ้นไปและสามารถตรวจสอบได้จากหนังสือรับรองการทำงาน ไม่ต้องยื่นสมุดบัญชีธนาคาร ทั้งนี้รวมถึงการยื่นสำหรับครอบครัวในความอุปการะของบุคคลดังกล่าวด้วย)

เพื่อเยี่ยมเพื่อน หรือคนรู้จัก (วีซ่าประเภทการพำนักระยะสั้น)
เอกสารที่ต้องเตรียม เป็นไปตาม วีซ่าเพื่อการท่องเที่ยว ตั้งแต่ ข้อ 1 - 7 และต้องเตรียมเพิ่มเติมดังนี้
1.เอกสารรับรองเหตุผลในการเดินทาง : (อนึ่ง ผู้ที่เคยไปญี่ปุ่นแล้วภายในเวลา 3 ปี สามารถยกเว้นเอกสารเหล่านี้) จดหมายรับรองความสัมพันธ์ (กรุณาเขียนอธิบาย ประวัติความเป็นมาและช่วงเวลาที่ได้รู้จักกัน) , รูปถ่ายที่ถ่ายด้วยกัน, จดหมาย, สำเนาหนังสือเดินทางของเพื่อนหรือคนรู้จักที่ญี่ปุ่น (ถ่ายสำเนาหน้าที่มี ชื่อสกุลและรูป และหน้าที่มีตราอนุญาตการพำนักอาศัย) เป็นต้น
2. กรณีที่เพื่อนหรือคนรู้จักที่อยู่ในญี่ปุ่น เป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการเดินทาง: ใช้หนังสือรับรองต่อไปนี้ อย่างใดอย่างหนึ่ง ของเพื่อนหรือคนรู้จักที่อยู่ในญี่ปุ่น
(เช่น หนังสือรับรองการเสียภาษี, หนังสือรับรองบัญชีเงินฝากจากธนาคาร, สำเนาแบบแสดง รายการยื่นภาษีเงินได้, หนังสือรับรองรายได้)
อนึ่ง สำหรับหนังสือค้ำประกัน จะยื่นด้วยหรือไม่ก็ได้ เอกสารเหล่านี้ไม่มีกำหนดแบบฟอร์มของเอกสาร สามารถดูจากโฮมเพจของกระทรวงต่างประเทศญี่ปุ่น หัวข้อ [ข้อแนะนำในการยื่นวีซ่าแยกตามสัญชาติต่างๆ] ซึ่งจะมี ตัวอย่างของแบบฟอร์ม

เพื่อการเยี่ยมญาติ (วีซ่าประเภทการพำนักระยะสั้น)
เอกสารที่ต้องเตรียม เป็นไปตาม วีซ่าเพื่อการท่องเที่ยว ตั้งแต่ ข้อ 1 - 7 และต้องเตรียมเพิ่มเติมดังนี้
1. เอกสารแสดงความสัมพันธ์ระหว่างผู้ยื่น กับ ญาติที่อยู่ในญี่ปุ่น
» ทะเบียนบ้านไทย และหนังสือเดินทางของญาติที่อยู่ในญี่ปุ่น
(หน้าที่มีชื่อสกุลและรูป และหน้าที่มีตราอนุญาตการพำนักอาศัย)
» หนังสือรับรองคนต่างด้าว (ออกไม่เกิน 3 เดือน) หรือบัตรประจำตัวคนต่างด้าว ด้านหน้าและหลัง ของญาติที่อยู่ในญี่ปุ่น สำเนาอย่างละ 1 ชุด
» เอกสารรับรองค่าใช้จ่ายในการเดินทาง
- ในกรณีที่ผู้ยื่นเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการเดินทางด้วยตัวเอง สมุดบัญชีเงินฝากธนาคาร (ของผู้ยื่นคำร้องหรือของผู้อุปการะ) ฉบับจริงและสำเนา (ทุกหน้า) 1 ชุด
ยก เว้นสำหรับผู้ยื่นที่เป็นข้าราชการหรือพนักงานบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลัก ทรัพย์หรือพนักงานรัฐวิสาหกิจ หรือมหาวิทยาลัย เป็นต้น ซึ่งมีอัตราเงินเดือนตั้งแต่ 2 หมื่นบาทขึ้นไป และสามารถตรวจสอบได้จากหนังสือรับรองการทำงานไม่ต้องยื่นสมุดบัญชีธนาคาร ทั้งนี้รวมถึงการยื่นสำหรับครอบครัวในความอุปการะของบุคคลดังกล่าวด้วย
- กรณีที่ญาติที่อยู่ในญี่ปุ่น เป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ใช้หนังสือรับรองอย่างใดอย่างหนึ่งของผู้เชิญต่อไปนี้ (ญาติที่อยู่ในญี่ปุ่น หรือคู่สมรสของญาติ)
(เช่น หนังสือรับรองการเสียภาษี, หนังสือรับรองบัญชีเงินฝากจากธนาคาร, สำเนาแบบแสดงรายการยื่นภาษีเงินได้, หนังสือรับรองรายได้) ฉบับจริง 1 ชุด
2. เอกสารอ้างอิงอื่นๆ (เอกสารดังต่อไปนี้จะเลือกยื่นหรือไม่ก็ได้)
(1) หนังสือแสดงเหตุผลในการเชิญ (2) หนังสือค้ำประกัน (3) กำหนดการเดินทาง
เอกสารเหล่านี้ไม่มีกำหนดแบบฟอร์มของเอกสาร แต่สามารถดูจากโฮมเพจของกระทรวง ต่างประเทศญี่ปุ่น หัวข้อ [ข้อแนะนำในการยื่นวีซ่าแยกตามสัญชาติต่างๆ ]

ข้อแนะนำในการยื่นขอวีซ่าญี่ปุ่น
1.กรุณาตรวจสอบเอกสารในการยื่นขอวีซ่าญี่ปุ่นให้ครบถ้วนตามวัตถุประสงค์ของประเภทวีซ่าญี่ปุ่น
2.การยื่นขอวีซ่าญี่ปุ่น
- เวลาในการรับคำร้องขอวีซ่าญี่ปุ่น เพื่อการพำนักระยะสั้น วีซ่าทรานซิท 8.30 – 11.15 น. / วีซ่าประเภทอื่นๆ 13.30 – 16.00 น.
- ทางสถานฑูตญี่ปุ่นจะให้บริการในการรับคำร้องยื่นขอวีซ่าตามลำดับหมายเลขบัตรคิว กรุณากดปุ่มคิว A และนั่งรอเจ้าหน้าที่เรียกเพื่อจะรับการบริการ หากต้องการปรึกษาหรือยื่นวีซ่าคู่สมรสชาวญี่ปุ่นกดปุ่มบัตรคิว C
- กรุณาติดต่อเคาน์เตอร์ที่เรียกหมายเลขบัตรคิวของท่านเพื่อยื่นเอกสาร
- กรุณารอเรียกหมายเลขบัตรคิวเดิมอีกครั้งหนึ่ง เพื่อรับใบนัดฟังผลวีซ่าญี่ปุ่น
- ในการยื่นขอวีซ่าญี่ปุ่นโดยทั่วไปนั้น จะใช้เอกสารประกอบการยื่นวีซ่าตามตารางหมายเลข 1 ด้านบน อนึ่ง ในบางกรณีอาจมีการถูกเรียกขอเอกสารเพิ่มเติม
3.วันทำการถัดไป นับจากวันยื่นคำร้อง อนึ่งในบางกรณีอาจต้องใช้เวลานานมากกว่า 3 วัน
4. ระยะเวลาในการพิจารณาวีซ่าญี่ปุ่น โดยทั่วไปทางสถานฑูตญี่ปุ่นจะใช้เวลาในการพิจารณาวีซ่า
5. หากท่านถูกพิจารณาวีซ่าเกิน 1 สัปดาห์ และมีความประสงค์จะทราบว่า การพิจารณานั้นเสร็จสิ้นแล้วหรือไม่ สามารถสอบถามได้ทางโทรศัพท์ โดยแจ้งวันที่ยื่นคำร้อง หมายเลขใบนัดฟังผล หมายเลขบาร์โค้ด และชื่อสกุลของท่าน
6. การรับเล่มหนังสือเดินทางคืน (การฟังผลวีซ่า) เริ่มให้บริการตั้งแต่เวลา 13.30 – 16.00 น.
- กรุณามาติดต่อขอรับหนังสือเดินทาง ตามวันเวลาที่ระบุในใบนัดฟังผลวีซ่าญี่ปุ่น หรือตามวันและเวลาที่เจ้าหน้าที่ได้แจ้งทางโทรศัพท์ กรุณาเตรียมใบนัดฟังผลและเงินค่าธรรมเนียมตรงตามที่ระบุในใบนัดฟังผลมาด้วย
- กรุณาชำระค่าธรรมเนียมวีซ่าญี่ปุ่นเป็นเงินสดขณะรับเล่มคืน (1) วีซ่ามีอายุ 3 เดือน (หมายความว่า ท่านต้องเดินทางเข้าประเทศญี่ปุ่นภายใน 3 เดือน นับจากวันที่ออกวีซ่า) (2) นักศึกษาระดับปริญญาตรีได้รับสิทธิในการยกเว้นค่าธรรมเนียม โดยการแสดงหนังสือรับรองสถานภาพความเป็นนิสิต
– นักศึกษา ตัวจริงกับเจ้าหน้าที่ เมื่อมายื่นขอวีซ่าตามหัวข้อที่ 2
7. ข้อแนะนำเพิ่มเติม การขอวีซ่าญี่ปุ่นนั้นเป็นเพียง 1 ขั้นตอนของการตรวจคนเข้าเมืองของประเทศญี่ปุ่น อาจะมีการถูกตรวจสอบเพิ่มเติมที่ด่านตรวจคนเข้าเมือง และอาจถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าประเทศได้ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง ขอให้ท่านเดินทางโดยสวัสดิภาพ

หมายเหตุ
1.หากเอกสารที่เตรียมมาไม่ครบถูกต้องตามระเบียบที่ได้ระบุไว้ข้างต้น กรุณารับทราบด้วยว่า ทางสถานทูตจะไม่สามารถรับคำร้องขอวีซ่าได้
2.รับคำร้องขอวีซ่า ระหว่างเวลา08.30 – 11.15 น. ที่ช่องหมายเลข 1 และ 2
3.สำหรับวันและเวลาในการคืนหนังสือเดินทาง (การฟังผลวีซ่า) สถานทูตจะให้ใบนัดฟังผลในวันที่ ยื่นคำร้อง กรุณาตรวจยืนยันวันที่คืนหนังสือเดินทางตามที่ระบุไว้ในใบนัดฟังผล โดยที่สถานทูตจะ คืนหนังสือเดินทางให้ใช้เวลาเร็วที่สุดคือ อีกสองวันทำการถัดไปนับจากวันที่ยื่นคำร้อง ในเวลา 13.30-16.00 น.
ในกรณีที่ได้รับการอนุมัติ วีซ่าจะติดในหนังสือเดินทาง สำหรับผู้ยื่นที่ทางเจ้าหน้าที่คิดว่า อาจใช้เวลาพิจารณามากกว่าสองวันทำการถัดไป เช่น ผู้ที่เดินทางไป ญี่ปุ่นเป็นครั้งแรก หรือตามวัตถุประสงค์ในการเดินทาง หรือแล้วแต่สถานการณ์ต่างๆ เป็นต้น ซึ่งใน บางกรณีอาจมีการขอเอกสารเพิ่มเติม, การสัมภาษณ์ผู้ยื่นขอวีซ่า หรือมีความจำเป็นต้อง ตรวจสอบไปยังกระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่น ทางสถานทูตจะให้ใบนัดฟังผลและระบุว่าให้รอ (ทางสถานทูตจะติดต่อทางโทรศัพท์ให้มาฟังผลในภายหลัง) ซึ่งกรณีเช่นนี้อาจจะไม่สามารถ พิจารณาวีซ่าได้ทันตามกำหนดการเดินทางที่ต้องการ
ฉะนั้น กรุณายื่นขอวีซ่าล่วงหน้าหลายๆวัน ก่อนการเดินทาง กรณีที่ยังไม่ได้รับการติดต่อจากสถานทูตญี่ปุ่นหลังจากที่ยื่นวีซ่าไปแล้วเป็นเวลา มากกว่า 1 สัปดาห์ ผู้ยื่นสามารถโทรศัพท์สอบถามได้ โดยให้แจ้งหมายเลขใบนัดฟังผล (ตัวอักษร ภาษาอังกฤษกับตัวเลข5หลัก) และหมายเลขบาร์โค้ด (ตัวเลข8หลัก) อนึ่งกรุณารับทราบด้วยว่าการ พิจารณาออกวีซ่าต้องใช้เวลาอย่างน้อยสองวันทำการ จึงไม่สามารถออกวีซ่าให้ได้เร็วกว่านี้ตามคำร้องขอ เป็นกรณีพิเศษ
» ข้อมูล: สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย 2 มีนาคม 2553