หากเดินทางไปทางทิศตะวันตกตามถนนคิตะโอจิโดริ จะผ่านสวนสาธารณะฟุนาโอกะยามะโคเอ็น เพื่อไปยังวัดคินคะคุจิ หรือวัดศาลาทอง ซึ่ง รู้จักกันดีที่สุดในเกียวโต วิหารสร้างในปี 1955 จำลองแบบจากของเดิมในศตวรรษที่ 15 และเพิ่งหุ้มทองคำครั้งหลังสุดในปี 1987 วิหารมี 3 ชั้น
โดยชั้นแรกมีลักษณะเป็นพระราชวัง สร้างขึ้นในสไตล์ Shinden ใช้อาคารวังในช่วง ระยะเวลาเฮอัง และมีเสาไม้ธรรมชาติและผนังปูนสีขาวแตกต่างยังเสริมเรื่องปิดทองบนของศาลา รูปปั้นของพระวัต (ประวัติพระพุทธเจ้า) และ Yoshimitsu ถูกเก็บไว้ในชั้นแรก แม้ว่าจะไม่สามารถเข้าศาลา, รูปปั้นสามารถดูได้จากในบ่อถ้าคุณดูอย่างใกล้ๆที่หน้าต่างด้านหน้าของชั้นแรก
ชั้นที่สองเป็นแบบบ้านซามูไร สร้างในสไตล์ Bukke ใช้สำหรับให้ ซามูไร อยู่อาศัยและมีภายนอกที่ครอบคลุมสมบูรณ์ในทอง ภายในมีพระโพธิสัตว์นั่ง Kannon ล้อมรอบด้วยรูปปั้นของ Four Heavenly Kings แต่การปั้นจะไม่แสดงต่อสาธารณชน และบนสุดเป็นตัวในรูปแบบของจีน Zen Hall, และปิดทองอยู่ภายในออกและปกคลุมด้วยต้นอินทผลัมทอง
ส่วนชั้นที่สามเป็นแบบวัดเซน คินคะคุจิตั้งอยู่กลางทัศนียภาพอันเหมาะเจาะ ผืนน้ำในสระกว้างเบื้องหน้าสะท้อนประกายระยับกั้นโอบด้วยแมกไม้ สวนเดินเล่นที่มีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่นตั้งอยู่ในบริเวณคัต สึระริคิว หรือพระตำหนักแปรพระราชฐานคัตสึระ ซึ่งอยู่ทางตะวันตกของสถานีเกียวโตบนฝั่งตะวันตกของแม่น้ำคัดสึระงาวะ
สวนนี้มีเรือนน้ำชาชั้นดีหลายแห่งซึ่งมองออกไปแลเห็นสระน้ำกว้างตรงกลาง ความประณีตงามเรียบของพระตำหนักที่ชูงะคุอิง ทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือซึ่งเป็นอาคารสามชั้นนั้นดูเพริศไปด้วยจินตนาการมากกว่าหากเทียบกับพระตำหนักคัตส
สวนนี้มีเรือนน้ำชาชั้นดีหลายแห่งซึ่งมองออกไปแลเห็นสระน้ำกว้างตรงกลาง ความประณีตงามเรียบของพระตำหนักที่ชูงะคุอิง ทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือซึ่งเป็นอาคารสามชั้นนั้นดูเพริศไปด้วยจินตนาการมากกว่าหากเทียบกับพระตำหนักคัตส
ท่านอาจจะจำได้ การ์ตูนเรื่องอิคิวซัง เณรน้อยเจ้าปัญญา ก็จำลองเรื่องราวเหตุการณ์ของศาลาทองในวัดนี้ให้เป็นปราสาทของท่านโชกุน (โชกุนอาชิกางะ โยชิมิสึ ( Ashikaga Yoshimistsu)) และบุตรชายของเขาที่เป็นเจ้าของพลับพลาหลังนี้ ก่อนที่จะยกให้เป็นทรัพย์สมบัติของวัดโรกุนนอนจิ (Rokuonji : อีกชื่อของวัดนี้) ในเวลาต่อมา พลับพลาหลังนี้เคยถูกลอบวางเพลิงในปี พ.ศ.2493 โดยพระภิกษุที่บวชอยู่ในวัด พระรูปนี้บวชเข้ามาแล้วเกิดความหลงใหลในความงามของพระวิหารและคิดว่าการที่จะเข้าถึงแก่นแท้ของความงานต้องเผาทำลายวัตถุแห่งความงามนั้นไปด้วย จึงได้มีการสร้างใหม่เมื่อปี พ.ศ. 2498
ก่อนทางออกจะมีการขอพรโดยการเขียนขอพรที่แผ่นไม้ “อิกคิว” โดยส่วนมากจะเขียนขอให้มีสติปัญญาหลักแหลม ฉลาดแบบอิกคิวซัง Kinkakuji สามารถเข้าถึงได้จาก สถานีเกียวโต โดยเมืองเกียวโตรถโดยตรงจำนวน 101 หรือ 205 ใน 40 นาทีและ 220 ¥ หรืออาจจะเร็วขึ้นและเชื่อถือได้มากขึ้นที่จะ Karasuma Subway Line เพื่อ Kitaoji Station (15 นาที, 250 เยน) และจะใช้ รถ (10 นาทีประมาณ 900 ¥) หรือ รถบัส (10 นาที, 220 เยนรถบัส 101 ตัวเลข 102, 204 หรือ 205) จากนั้นไป Kinkakuji หรือ
นั่งรถบัสสาย: 101, 102, 204, 205 จากสถานีรถไฟเกียวโต ลงที่ป้าย Kinkakuji-michi แล้วเดินต่ออีก 300 เมตร (ประมาณ 5 นาที) จะถึงทางเข้าวัด
นั่งรถบัสสาย: 12, 59 ลงที่ป้าย Kinkakuji-mae
*** แนะนำให้ซื้อ ตั๋วแบบวันเดย์พาส Kyoto City Buses One Day Pass ในราคา 500 เยน สามารถขึ้นรถบัสในเมืองเกียวโตได้ทุกสายไม่จำกัดจำนวนเที่ยว หาซื้อได้ที่ ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว บริเวณขวามือเมื่อออกจากประตูสถานีรถไฟ (หันหน้าไปที่เกียวโตโดม)
เวลาเปิด :
09.00-17.00 น.
นั่งรถบัสสาย: 101, 102, 204, 205 จากสถานีรถไฟเกียวโต ลงที่ป้าย Kinkakuji-michi แล้วเดินต่ออีก 300 เมตร (ประมาณ 5 นาที) จะถึงทางเข้าวัด
นั่งรถบัสสาย: 12, 59 ลงที่ป้าย Kinkakuji-mae
*** แนะนำให้ซื้อ ตั๋วแบบวันเดย์พาส Kyoto City Buses One Day Pass ในราคา 500 เยน สามารถขึ้นรถบัสในเมืองเกียวโตได้ทุกสายไม่จำกัดจำนวนเที่ยว หาซื้อได้ที่ ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว บริเวณขวามือเมื่อออกจากประตูสถานีรถไฟ (หันหน้าไปที่เกียวโตโดม)
เวลาเปิด :
09.00-17.00 น.
ค่าเข้าชม :
ผู้ใหญ่ 400 เยน
เด็ก 300 เยน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น